ต้อกระจกเกิดจากเลนส์ธรรมชาติในดวงตาเสื่อมสภาพและขุ่นมัว มักสับสนกับอาการสายตายาวตามวัย หลายคนจึงชะลอการรักษา จนกระทั่งสายตาพร่ามัวหรือมองไม่เห็นแล้วจึงมาพบแพทย์ แพทย์ย้ำว่า ต้อกระจกสามารถชะลอการเสื่อมได้เท่านั้น ไม่สามารถย้อนกลับได้ และการผ่าตัดยังคงเป็นวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด ยาที่มีในปัจจุบัน เช่น azapentacene (ชื่อทางการค้า Can-C) สามารถชะลอการเสื่อมของเลนส์ตา แต่ไม่สามารถแทนที่การผ่าตัดได้การผ่าตัดต้อกระจกเป็นการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เสร็จสิ้น (ภาพ / โดย Heho Health)

การผ่าตัดต้อกระจกเป็นการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยนำเลนส์ที่ขุ่นมัวออกและใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่ เพื่อฟื้นฟูการมองเห็น ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจมีอาการมองไม่ชัด แพ้แสง หรือเกิดภาวะขุ่นของถุงหลังเลนส์ ซึ่งเกิดขึ้นได้ประมาณ 40% ภายใน 3 ปีหลังผ่าตัด และสามารถแก้ไขได้ด้วยการยิงเลเซอร์อย่างง่าย

ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยต้องตรวจสายตาอย่างละเอียด และหารือเกี่ยวกับประเภทของเลนส์เทียมที่เหมาะสม ควรงดอาหารก่อนผ่าตัด 12 ชั่วโมง และปรับยาละลายลิ่มเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ หลังผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ออกกำลังกายหนัก หรือใช้สายตาระยะใกล้เป็นเวลานาน แนะนำให้ใส่ที่ครอบตาเพื่อป้องกัน และมาตรวจติดตามตามนัดหมายควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาภายในหนึ่งสัปดาห์หลังผ่าตัด (ภาพ / โดย Heho Health)

แม้ว่าการผ่าตัดต้อกระจกจะมีความปลอดภัยสูง แต่ยังมีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น จอตาหลุดลอก หรือการติดเชื้อภายในลูกตา หากมีอาการผิดปกติ เช่น สายตาลดลง ตาแดง หรือปวดตา ควรรีบไปพบแพทย์ แพทย์เตือนว่าอย่ามองข้ามอาการมองไม่ชัด &mdash การผ่าตัดตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยรักษาการมองเห็น และลดความเสี่ยงของโรคตาที่รุนแรงในอนาคต