《語言教學》當代中文課程:第十二課-宿舍生活趣【20210516】
ตามข้อมูลจาก “โรงพยาบาลเพชรเวช” อันตรายที่มาจากอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง มีดังนี้1. ในเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล จะมีการเคลือบสารสารฟอสเฟตก่อนนำมาแช่แข็ง เพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นหืน หากมีสารตัวนี้มาก อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองต่อผิวหนังได้2. อาหารแปรรูปแช่แข็งมักใส่สารกันบูด หากได้รับในปริมาณมาก จะเกิดอาการอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย หรือถ้าได้รับสารกันบูด เป็นเวลานานๆ จะเกิดสารพิษสะสม ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งได้3. อาหารระเบิดในไมโครเวฟ ถ้าภาชนะไม่สามารถทนความร้อน เมื่ออุ่นในไมโครเวฟจะทำให้เกิดการไหม้ได้ หรือหากไม่มีการระบายไอน้ำขณะอุ่นร้อนในไมโครเวฟ อาจะจะเกิดการระเบิดได้เช่นกัน4. สารอาหารไม่ครบถ้วน อาหารแปรรูปแช่แข็งจะลดคุณค่าของสารอาหารประเภท เนื้อสัตว์ สามารถสังเกตได้จากสี เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว จากสีแดง จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่านข่าวเพิ่มเติม: ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่แซวกันสนั่นโซเชียล ! ป้ายสีแดงหน้าร้านค้า อีกหนึ่งเรื่องตลกๆ ในไต้หวันตามข้อมูลจาก “โรงพยาบาลเพชรเวช” เคล็ดลับในการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง มีดังนี้เลือกภาชนะที่ไม่เสื่อมสภาพ ไม่มีรอยรั่ว ฉีกขาด สังเกตที่สลากจะมีเขียน ไมโครเวฟเอเบิล (Microwaveabel) หรือไมโครเวฟ เซฟ (Microwave save) ภาชนะที่ผ่านการใช้ไมโครเวฟแล้ว ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำอีก เพราะ จะมีสารตกค้างจากภาชนะ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ในระหว่างที่ทำการอุ่นจะต้องไม่ลืมเจาะรูแผ่นพลาสติกระบายไอน้ำ หากไม่เจาะรูระบายไอน้ำอาหารที่กำลังทำการอุ่นในไมโครเวฟ จะเกิดการระเบิดเป็นอันตรายได้ ฉลากจะต้องบอกข้อมูลทางโภชนาการ และข้อมูลต่างๆอย่างละเอียด เช่น วันผลิต วันหมดอายุ วิธีการบริโภค ส่วนประกอบของอาหาร เป็นต้น การเลือกเมนูอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะเมนูผัก หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันอย่างไรก็ตาม อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เป็นทางเลือกในการรับประทานอาหารของผู้ที่เร่งรีบ มีเวลาจำกัด เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว สามารถหาซื้อ และทำรับประทานเองได้ง่าย หากมีความจำเป็นที่จะต้องบริโภคอาหารสำเร็จรูป ควรที่จะรับประทานอาหารสดควบคู่กัน เพื่อที่จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และดื่มน้ำเพื่อขับสารที่อยู่ในอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งออกทางปัสสาวะ ไม่ให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกายอ่านข่าวเพิ่มเติม: สถาบันวิจัยกล้วยไต้หวัน ผลักดันการแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากกล้วยดิบ เพื่อเพิ่มมูลค่า
ตามข้อมูลจาก “คมชัดลึกออนไลน์” ได้แบ่งปันทริคง่ายๆ ในการเลือกรับประทานโยเกิร์ตให้หุ่นเป๊ะ-ผิวปัง ดังนี้1. รู้จักส่วนผสม เลือกดีมีชัยไปกว่าครึ่งผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตมีให้เลือกทั้งที่ผลิตจากนม และไม่ได้ผลิตจากนม ซึ่งมีคุณค่าทางสารอาหารและรสชาติแตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญสำหรับการเลือกโยเกิร์ตของสายรักสุขภาพก็คือ อย่าลืมดูปริมาณน้ำตาลในส่วนประกอบ ควรดูข้อมูลส่วนประกอบเลือกอันที่มีน้ำตาลน้อย และควรเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ไม่ผสมผลไม้หรือส่วนประกอบอื่นเพราะมักจะมีน้ำตาลแฝงมาด้วย2. โปรตีน ตัวเอกที่ทำให้อิ่มท้องสำหรับใครที่อยากคุมอาหาร ต้องมองหาอาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง เพราะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดการกินจุบจิบ การเพิ่มโปรตีนให้ร่างกายสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความอยากอาหารและทำให้ร่างกายรู้สึกหิว นอกจากนี้ โปรตีนยังจำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พร้อมสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสร้างหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มด้วย ดังนั้นหากใครกำลังเลือกโยเกิร์ตที่ดีต่อการควบคุมน้ำหนัก อย่าลืมดูปริมาณโปรตีนที่ฉลากข้างผลิตภัณฑ์ให้ดีอ่านข่าวเพิ่มเติม: สถาบันวิจัยกล้วยไต้หวัน ผลักดันการแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากกล้วยดิบ เพื่อเพิ่มมูลค่า3. เป๊ะทั้งหุ่นทั้งผิว ต้องไม่ลืมบำรุงด้วย Super Food ให้เปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอกใครที่ตั้งใจดูแลความสวยล้วนเข้าใจดีว่า ถ้าเราตั้งใจลดน้ำหนักหรือลดสัดส่วนลงแต่ไม่ดูแลผิวพรรณให้ดี ก็สร้างความสวยแบบเฮลตี้ไม่ได้ ดังนั้น การเติมอาหารให้กับผิวคืนความเปล่งปลั่งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเลือก โยเกิร์ต ที่มีส่วนประกอบของวิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงเซลล์ผิวให้สมบูรณ์4. เลือกกินให้ดีพร้อมขยับร่างกายนอกจากเลือก โยเกิร์ต ที่มีส่วนประกอบที่มีประโยชน์แล้ว การออกกำลังกายก็สำคัญไม่แพ้กัน ใครที่ต้องการรักษาสุขภาพต้องออกกำลังกายให้ได้ทั้ง 2 ประเภทคือ คาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญพลังงาน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ เต้น และเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกดัมเบล โยคะ พิลาทิส และอย่าลืมสร้างพลังงานดีๆ ให้ร่างกายด้วยการกินโยเกิร์ตสักถ้วยก่อนออกกำลังกายอ่านข่าวเพิ่มเติม: ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่แซวกันสนั่นโซเชียล ! ป้ายสีแดงหน้าร้านค้า อีกหนึ่งเรื่องตลกๆ ในไต้หวัน
ตามข้อมูลจาก “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” รัฐบาลเร่งพลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เดินหน้าต่อยอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น Quick Win อำนวยความสะดวกในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย (Ease of Travelling) แก่นักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งขยายเวลาทำการของท่าอากาศยานเชียงใหม่ เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยในช่วงไฮซีซั่นส่งท้ายปี 2566 นี้นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่า การเปิดให้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ตลอด 24 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มการรองรับเที่ยวบินเส้นทางระหว่างประเทศที่เดินทางเข้าและออกประเทศไทยหลังเที่ยงคืน ส่งผลให้สายการบินระหว่างประเทศพิจารณาเพิ่มตารางการบินและเที่ยวบินสู่ประเทศไทย อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว (Ease of Travelling) เพิ่มศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มตลาดระยะใกล้และระยะไกล ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ให้สามารถเดินทางเข้าถึงได้อย่างสะดวกมากขึ้นในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก ยังเป็นศูนย์กลางในการกระจายการท่องเที่ยวออกไปยังจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือ ส่งผลดีต่อการกระจายรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกด้วยทั้งนี้ ทอท. จะเปิดให้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป จากเดิมที่เปิดให้บริการ 18 ชั่วโมงต่อวัน หรือตั้งแต่เวลา 06.00 - 24.00 น. เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซั่น ปลายปี 2566 โดยเพื่อเป็นการประกาศให้บริการ 24 ชั่วโมงของท่าอากาศยานเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้บริหารของ ทอท.และผู้ร่วมกิจกรรม ได้ร่วมกันแจกของที่ระลึกให้แก่ผู้โดยสารสายการบินไทยเวียตเจ็ท เที่ยวบินที่ VZ 822 เส้นทาง เชียงใหม่ - โอซาก้า กำหนดออกจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ เวลา 00.30 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 (คืนวันที่ 31 ตุลาคม 2566) เดินทางถึงท่าอากาศยานคันไซ (โอซาก้า) เวลา 07.50 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ด้วย โดย ทอท. จะเตรียมความพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก เจ้าหน้าที่ และระบบคมนาคมขนส่ง รวมทั้งจัดสรรพื้นที่ภายในท่าอากาศยานฯ แก่วิสาหกิจชุมชน เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นแก่นักท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างทั่วถึง ตลอดจนประสานงานร่วมกับสายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาจัดตารางการบินให้เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ พร้อมกำหนดมาตรการดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วยมาตรการดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อคข้อจำกัดด้านเวลาของการเดินทางทางอากาศของเส้นทางการบินระหว่างประเทศ สะท้อนศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มตลาดระยะใกล้และระยะไกล โดยคาดการณ์ว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศและผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ร้อยละ 30 ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่รองรับจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศรวม 150 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 21,537 คนต่อวัน จากเส้นทางระหว่างประเทศ 18 เส้นทาง และเส้นทางภายในประเทศ 12 เส้นทาง โดยมีเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศ ได้แก่ ไทเป, อินชอน, คุนหมิง, ปักกิ่ง, ฮ่องกง คาดว่าในเดือนเมษายนจะเพิ่มเส้นทางบินตรง ได้แก่ มุมไบและนิวเดลี รวมถึงมีขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสาร 8 ล้านคนต่อปี และอยู่ขั้นตอนการศึกษาและออกแบบโครงการพัฒนา ระยะที่ 1 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 16.5 ล้านคนต่อปีอ่านข่าวเพิ่มเติม: ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่แซวกันสนั่นโซเชียล ! ป้ายสีแดงหน้าร้านค้า อีกหนึ่งเรื่องตลกๆ ในไต้หวันอ่านข่าวเพิ่มเติม: สถาบันวิจัยกล้วยไต้หวัน ผลักดันการแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากกล้วยดิบ เพื่อเพิ่มมูลค่า