ตามรายงานข่าวของ THE STANDARD ใครชื่นชอบวิวสวยๆ ยามพระอาทิตย์ตกดินบนชั้น 56 ของ The Loft บาร์สวยในโรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ เห็นทีคงต้องกลับมาที่นี่อีกรอบ และไม่ได้มาแค่ชมวิว แต่มาลิ้มลองเมนูค็อกเทลใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปินแนวสตรีทอาร์ตชื่อดังของไทยอย่าง มวย-ปิยศักดิ์ เขียวสะอาดบาร์เมเนเจอร์ของ The Loft ภาพจาก/THE STANDARDThe Loft นำโดยผู้จัดการบาร์ Michele Montauti และทีมบาร์เทนเดอร์ ได้เปิดตัวเมนูค็อกเทลใหม่ในชื่อ Artist at The Loft กว่า 13 รายการ ซึ่งค็อกเทลพิเศษเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานของศิลปินไทยแนวสตรีทอาร์ตชื่อดัง ‘มวย-ปิยศักดิ์ เขียวสะอาด’ ผู้ใช้งานอาร์ตสะท้อนชีวิตสัตว์ป่า และถ่ายทอดไว้บนกำแพงทั้งในไทยและต่างแดน ซึ่งทีมบาร์เทนเดอร์ได้นำผลงานเหล่านี้มาสร้างสรรค์เป็นค็อกเทลแก้วต่างๆ ที่บอกเล่าถึงผลงานชิ้นนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น Fox (460 บาท++) วิสกี้ค็อกเทลผสมมะนาวและน้ำเชื่อมมะขาม มอบรสเปรี้ยวอมหวาน สดชื่น ให้ความรู้สึกตื่นตัวพร้อมทะยานของสัตว์ป่า หรือภาพจระเข้ฟาดหาง Destroy the Zoo (440 บาท++) ที่ต้องการสื่อความหมายว่าสัตว์ป่าไม่ควรอยู่ในสวนสัตว์ จึงได้เป็นเตกิลาค็อกเทล ผสมว่านหางจระเข้และนม เสิร์ฟมาแบบใสหรือภาพนกที่ศิลปินต้องการสื่อว่าพวกเราทุกคนต้องการอาศัยอยู่ในบ้านของตนเอง เลยได้เป็น Bird’s Nest (300 บาท++) เครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ ไม่มีแอลกอฮอลล์ ใช้ผลไม้โปรดของนกอย่างมะละกอและมะม่วง ผสมกับโซดากลิ่นพีชและน้ำเชื่อมข้าวหอมมะลิ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์แต่อยากมานั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกที่นี่ พร้อมลิ้มรสเมนูอาหารจาก The Loft หรือ Front Roomขอบคุณข้อมูลจาก: THE STANDARD
ตามรายงานข่าวของ THE STANDARD ใกล้จะถึงสิ้นปี ช่วงนี้ก็จะมีกลิ่นอายบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองแทบทุกที่ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบาร์บีคิวหรือสายคราฟต์เบียร์ที่กำลังหาร้านแฮงเอาต์หลังเลิกงานหรือนัดสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ตอนนี้มีร้านบาร์บีคิวสไตล์เมมฟิสเปิดใหม่ที่ถนนสุรวงศ์แล้วRolling Ribs Brew Bar & BBQ ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพ (Le Méridien Bangkok) ที่เพิ่งจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งหลังจากปิดรีโนเวตตัวโรงแรม ซึ่งการกลับมาใหม่ครั้งนี้มาพร้อมร้านบาร์บีคิวบรรยากาศดีที่มุ่งเน้นการเสิร์ฟบาร์บีคิวสไตล์เมมฟิส พร้อมคราฟต์เบียร์ชั้นเยี่ยมจากทั่วโลก รวมไปถึงวิสกี้และซิกเนเจอร์ค็อกเทลตัวร้านตกแต่งสไตล์อินดัสเทรียล เน้นโทนสีเข้ม อิฐแดง โลหะ และไม้ มีครัวเปิดและเน้นบรรยากาศกึ่งเปิดโล่ง แต่นั่งสบายท่ามกลางบรรยากาศอันพลุกพล่านของกรุงเทพฯ และถนนสุรวงศ์ยามค่ำคืนอ่านข่าวเพิ่มเติม: ต้องระวัง! แรงงานต่างชาติจะ “ถูกเพิกถอน” ใบอนุญาตการจ้างงานหากฝ่าฝืนกฎระเบียบการป้องกัน “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร”คอมโบเซ็ต (1,350 บาท/1,950 บาท) ซึ่งประกอบด้วยเมนูพื้นฐานอย่าง Half Rack of Smoked BBQ Pork Ribs กับ Slow Smoked Pulled Pork Shoulder ภาพจาก/THE STANDARDบาร์บีคิวสไตล์เมมฟิส เป็นหนึ่งในรูปแบบของบาร์บีคิวที่นิยมกินกันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำแนกประเทศตามชื่อมลรัฐ (แคโรไลนา, แคนซัส ซิตี้, เท็กซัส, เมมฟิส) ขึ้นชื่อเรื่องการใช้เนื้อหมูเป็นหลัก นำไปย่างและรมควันโดยไม้ Hickory เมนูไฮไลต์ของบาร์บีคิวสไตล์เมมฟิส คือ Pork Ribs และ Pulled Pork เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างโคลสลอว์ คอร์นเบรด หรือผักสลัดอ่านข่าวเพิ่มเติม: โรคภัยไข้เจ็บไม่แบ่งคนรวยหรือจน แรงงานไทยที่มีสิทธิประกันสังคมรับการรักษาฟรีขอบคุณข้อมูลจาก: THE STANDARD
ตามรายงานข่าวของ THE STANDARD หลังเปิดคาเฟ่แห่งแรกในเมืองไทยมาได้พักใหญ่ ถึงเวลา Café Kitsuné ขยับขยายลิสต์เครื่องดื่มไปสู่เนเชอรัลไวน์ (Natural Wine) ด้วยการเปิดไวน์บาร์ที่เอาใจคนรุ่นใหม่ด้วยการคัดสรรเนเชอรัลไวน์จากทั่วทุกมุมโลก ที่ผ่านกระบวนการผลิตไวน์ตามธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี มุ่งใช้ยีสต์ธรรมชาติ และไม่ปรุงแต่ง ตามรอย Café Kitsuné สาขาต่างๆ ในหัวมุมเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ปารีส โตเกียว หรือโซลอ่านข่าวเพิ่มเติม: ต้องระวัง! แรงงานต่างชาติจะ “ถูกเพิกถอน” ใบอนุญาตการจ้างงานหากฝ่าฝืนกฎระเบียบการป้องกัน “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร”Café Kitsuné คาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นที่บินมาไกลจากปารีส เปิดให้บริการที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ภาพจาก/THE STANDARDใครที่เคยลิ้มลองเนเชอรัลไวน์มาก่อนจะรู้ดีว่ารสสัมผัสของไวน์ประเภทนี้ต่างจากไวน์ทั่วไป เพราะด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทำให้ไวน์แต่ละขวดนั้นมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว และให้ความรู้สึกที่ล้ำทั้งรูป รส กลิ่น สี โดยไวน์ 6 ตัวแรกที่ Café Kitsuné นำเสนอมาจากประเทศฝรั่งเศสและออสเตรีย มีทั้งสปาร์กลิงไวน์ ไวน์ขาว และไวน์แดง เริ่มจากสปาร์กลิงไวน์อย่าง Crémant du Jura (แก้วละ 360 บาท/ขวดละ 1,950 บาท) จากไร่องุ่นปลอดสารในแคว้น Jura ที่มอบความสดชื่นอมเปรี้ยว ให้ความรู้สึกถึงบ๊วยหอมๆ ส่วนไวน์ขาวมีให้เลือก 3 ตัว ได่แก่ François de Nicolay (แก้วละ 330 บาท/ขวดละ 1,750 บาท) ตัวนี้เป็นชาร์ดอนเนย์จากฝรั่งเศส ได้รสน้ำผึ้งและพีช นุ่ม ดื่มง่าย แต่สีอาจไม่ใสเหมือนไวน์ขาวท่ัวไป เนื่องจากไม่ผ่านการฟิลเตอร์ รสชาติที่ได้จึงใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด อีกตัวได้แก่ Riesling Vincent Fleith (แก้วละ 330 บาท/ขวดละ 1,750 บาท) ที่ใช้องุ่น Riesling ที่มีความหอมอบอวลด้วยดอกไม้ขาว รสออกไปทางดราย ไม่หวาน เหมาะกับการกินคู่กับอาหารไทย แต่ขวดที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดต้องยกให้ Intergalactic (แก้วละ 330 บาท/ขวดละ 1,750 บาท) ที่ได้มาจากออสเตรีย เหมาะสำหรับคนที่อยากลองเนเชอรัลไวน์ที่มีความล้ำทั้งกลิ่นหอมๆ ของมะลิ และรสสัมผัสที่ออกไปทางเปรี้ยวในขณะที่ไวน์แดงสนุกตรงทางร้านได้คัดสรรไวน์ที่มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น เพื่อให้เข้ากับประวัติความเป็นมาของแบรนด์ มีให้เลือก 2 ตัว เริ่มจาก Wabi-Sabi (แก้วละ 310 บาท/ขวดละ 1,650 บาท) ไวน์ขวดนี้มาจากออสเตรีย มีรสที่ออกไปทางผลไม้ สมุนไพร และเอิร์ทตี้ และไวน์แดงจากฝรั่งเศสอย่าง Hanami (แก้วละ 330 บาท/ขวดละ 1,750 บาท) เน้นดื่มง่าย นุ่มลื่นคอ แต่มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์สูงตามแบบฉบับของเนเชอรัลไวน์และอย่างที่บอกว่าเนเชอรัลไวน์ผลิตด้วยกระบวนการเพื่อความยั่งยืน ทำให้ไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณมากเหมือนไร่ไวน์ทั่วไป ดังนั้นไวน์ลิสต์ของที่นี่ของอาจหมุนเปลี่ยนไปทุกเดือน ข้อดีคือมันทำให้คุณได้ลองไวน์ใหม่ๆ เป็นประจำ แต่ข้อเสียก็คือถ้าคุณถูกใจขวดไหนมากเป็นพิเศษ ต้องทำใจว่าไปเยือน Café Kitsuné ครั้งหน้าอาจต้องเปลี่ยนไปลองขวดอื่นๆ แทน แต่รับรองว่าน่าตื่นเต้นไม่แพ้กันอ่านข่าวเพิ่มเติม: โรคภัยไข้เจ็บไม่แบ่งคนรวยหรือจน แรงงานไทยที่มีสิทธิประกันสังคมรับการรักษาฟรีCafé Kitsuné เริ่มเสิร์ฟไวน์ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ยังเป็นที่เดิม ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ขอบคุณข้อมูลจาก: THE STANDARD