เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) ได้ประกาศว่า รัฐบาลมีแผนเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยภายในปี 2027 งบประมาณกลาโหมของประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
การตัดสินใจครั้งนี้หมายความว่า งบประมาณกลาโหมของสหราชอาณาจักรจะเพิ่มขึ้น 13.4 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ เสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ยกระดับศักยภาพทางทหาร และมีบทบาทที่แข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก
ปัจจุบัน งบประมาณกลาโหมของสหราชอาณาจักรอยู่ที่ประมาณ 2.3% ของ GDP สตาร์เมอร์กล่าวในแถลงการณ์ต่อ สภาสามัญชน (House of Commons) ว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลจะปรับลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศจาก 0.5% เป็น 0.3% ของรายได้ประชาชาติขั้นต้น (GNI) ภายในปี 2027
เขาเน้นย้ำว่า การปรับลดดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการด้านกลาโหมและความรับผิดชอบทางการคลัง เพื่อให้มั่นใจว่าความมั่นคงของประเทศจะได้รับการคุ้มครอง โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
หลายฝ่ายมองว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของสตาร์เมอร์เป็นสัญญาณส่งถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสหราชอาณาจักร มีความตั้งใจที่จะรับผิดชอบต่อความมั่นคงของยุโรปมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยเรียกร้องให้ประเทศสมาชิก NATO เพิ่มงบประมาณกลาโหมหลายครั้ง เพื่อแบ่งเบาภาระทางการทหารของสหรัฐฯ โดยสตาร์เมอร์มีกำหนด เดินทางไปวอชิงตันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เพื่อพบกับ ทรัมป์ และหารือเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ทวิภาคีและประเด็นด้านความมั่นคงโลกนอกจากการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมแล้ว รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังมีแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมการทหารของประเทศอีกด้วย (ภาพจาก: แคปหน้าจอจาก Pexels)
สหราชอาณาจักรวางแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมกลาโหมของประเทศ
นอกจาก การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม แล้ว รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังมีแผน ฟื้นฟูอุตสาหกรรมกลาโหมภายในประเทศ เพื่อ สร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ
สตาร์เมอร์กล่าวว่านี่จะเป็น การลงทุนด้านกลาโหมครั้งใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น โดยมีเป้าหมายเพื่อ เสริมสร้างศักยภาพด้านกลาโหมของประเทศ และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมความมั่นคงโลก
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและองค์กรการกุศลหลายแห่งกังวลว่า การลดงบประมาณนี้อาจกระทบต่อโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาของสหราชอาณาจักรในระดับสากล ซึ่งอาจส่งผลให้ บทบาทของสหราชอาณาจักรในเวทีโลกอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยืนยันว่าจะยังคงให้การสนับสนุนที่สำคัญแก่ภูมิภาคที่จำเป็น เช่น ยูเครนและฉนวนกาซา เพื่อ รักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของโลก
นอกจากนี้ ในเดือน มกราคม 2024 สหราชอาณาจักรและยูเครนได้ลงนามใน “ข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคง สหราชอาณาจักร – ยูเครน” ซึ่งมีระยะเวลา 10 ปี ข้อตกลงดังกล่าวมุ่งเน้นที่ การแบ่งปันข่าวกรอง การฝึกอบรมทางทหาร และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกลาโหม
การดำเนินการนี้ถูกมองว่าเป็น การยืนยันถึงความมุ่งมั่นของสหราชอาณาจักรต่อความมั่นคงของยูเครน และเป็นการ เพิ่มบทบาทของสหราชอาณาจักรในยุโรปตะวันออก
ความท้าทายระหว่างการเสริมสร้างศักยภาพกลาโหมและความรับผิดชอบด้านมนุษยธรรม
โดยรวมแล้ว แผนการเพิ่มงบประมาณกลาโหมของรัฐบาลสหราชอาณาจักร สะท้อนให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นของประเทศในการรักษาความมั่นคงโลก และการก้าวสู่บทบาทที่แข็งแกร่งขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การหาจุดสมดุลระหว่างการเสริมสร้างศักยภาพกลาโหม และการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ด้านมนุษยธรรมระดับนานาชาติ ยังคงเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องเผชิญ