อัตลักษณ์มักไม่ใช่หัวข้อที่ถูกพูดถึงในชีวิตประจำวัน แต่สามารถปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งของเส้นทางชีวิตของแต่ละคน
บางครั้งเรามองคำถามว่า "ฉันคือใคร" ราวกับเป็นคำถามแบบตัวเลือกที่มีคำตอบเดียวที่ถูกต้อง และรู้สึกกังวลในการค้นหาคำตอบนั้น แต่การสำรวจอัตลักษณ์เปรียบได้กับการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน เป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่เคลื่อนไหวตามจังหวะชีวิต และอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อเราเชื่อมโยงกับเรื่องราวของผู้อื่น อัตลักษณ์จึงไม่ใช่ป้ายชื่อที่นิ่งสนิท แต่คือจุดที่เราเลือกวางเรื่องราวชีวิตของตัวเองในปัจจุบัน
การย้ายถิ่นขึ้นเหนือ จุดประกายความเข้าใจร่วมเรื่องอัตลักษณ์
สิบปีก่อน ฉันเพิ่งมาศึกษาที่ไทเป ฝนตกพรำและอากาศชื้นทำให้ฉันไม่สบายหลายครั้ง จนติดนิสัยพกร่มติดตัวเสมอ &ldquoคุณมาจากไหน&rdquo เป็นคำถามยอดนิยมของเพื่อนร่วมชั้น ฉันตอบโดยไม่คิดว่า &ldquoลู่กัง เมืองจางฮั่ว&rdquo ยิ่งอยู่ไทเปนาน คำตอบนี้ยิ่งมีความหมายมากขึ้น มันไม่ใช่แค่คำบอกเล่าถึงบ้านเกิด แต่ยังเชื่อมโยงกับความรู้สึกเป็นเจ้าของ และรากเหง้าทางวัฒนธรรม เรื่องเล็ก ๆ ที่เคยเป็นเรื่องปกติกลับกลายเป็นสิ่งที่คิดถึง เช่น อาหารทะเลในมื้อประจำวัน เสียงภาษาถิ่นลู่กังที่คุ้นเคย
บางครั้งการพูดถึงอัตลักษณ์ หมายถึงการสำรวจเรื่องชาติพันธุ์ ช่วงเริ่มต้นมหาวิทยาลัย ฉันเริ่มสนใจประเด็นแรงงานอพยพ และเริ่มเข้าใจเส้นทางของแม่ฉันซึ่งย้ายจากเวียดนามมาอยู่ที่ไต้หวันเพราะการแต่งงาน ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Brides ที่ฉันดูในห้องเรียน เป็นครั้งแรกที่ฉันมองเห็นสังคมไต้หวันผ่านสายตาของผู้หญิงอพยพ และเริ่มเผชิญกับประสบการณ์ของแม่อย่างจริงจัง เรื่องราวในวัยเด็กที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นการผจญภัยครั้งใหญ่ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการย้ายถิ่น นำมาซึ่งความเข้าใจผิด อคติ และความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อฉันอย่างลึกซึ้ง ฉันใช้เวลากว่า 20 ปี โดยไม่เคยรู้จักบ้านเกิด ภาษา หรือเรื่องราวการย้ายถิ่นของแม่เลย
การหันกลับสู่ทิศใต้ เปิดบทสนทนาใหม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์
หลังจากนั้นไม่นาน ไต้หวันเริ่มใช้ &ldquoนโยบายมุ่งใต้&rdquo ภูมิหลังของครอบครัวผู้อพยพเริ่มถูกยอมรับว่าเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เด็กรุ่นที่สองจากครอบครัวข้ามชาติจะมีอัตลักษณ์แบบไหน? พวกเขาพูดภาษาของพ่อแม่ผู้อพยพได้ไหม? ความคาดหวังของสังคมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้สะดวกสบายเสมอไป อัตลักษณ์ของลูกหลานผู้อพยพอาจถูกลดทอนให้เหลือเพียงคำตอบเดียวแบบ &ldquoสองชาติ&rdquo แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของพ่อแม่อย่างลึกซึ้ง เรื่องนี้จึงนำไปสู่ความสงสัยในตนเอง ความรู้สึกที่อธิบายยาก ซึ่งฉันก็เคยเผชิญ
ต่อมา ฉันมีโอกาสกลับไปบ้านเกิดของแม่ เรียนภาษาเวียดนาม และได้คืนดีกับความทรงจำที่เจ็บปวดจากความขัดแย้งทางวัฒนธรรม การเรียนภาษาช่วยให้ฉันใกล้ชิดกับแม่มากขึ้น ฉันยังจำได้ว่า ตอนที่พูดภาษาเวียดนามกับแม่เป็นครั้งแรก เธอทั้งตกใจและดีใจ มันเป็นวิธีที่ฉันแสดงความห่วงใย แต่ก็ตลกดีที่สำเนียงเวียดนามภาคเหนือของฉัน แม่ของแม่ที่อยู่ไซ่ง่อนไม่ค่อยเข้าใจ ถึงแม้ฉันจะมีพื้นฐานภาษาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเวียดนามได้เลย เพราะฉันไม่เคยใช้ชีวิตที่นั่นจริง ๆ
เมื่อได้ฟังเรื่องราวของลูกหลานผู้อพยพคนอื่น ๆ ฉันจึงเข้าใจว่า อัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ในวันเดียว แต่มันคือกระบวนการที่ต้องค้นหาและตีความซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่ใช่แค่คนที่ติดอยู่ระหว่างสองวัฒนธรรม แต่เป็นเหมือนนักสะสม ที่รวมความทรงจำ อารมณ์ ภาษาเข้าไว้ด้วยกัน ทุกครั้งที่ฉันพูดถึงครอบครัว ประสบการณ์เรียนภาษา หรือความเข้าใจผิดที่เกิดจากวัฒนธรรม ก็เป็นเหมือนการจัดระเบียบความเป็นตัวเองใหม่อีกครั้ง สำหรับฉัน อัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่มันคือคำเชิญชวนให้เกิดการสนทนาและเข้าใจกัน
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้นในการอยู่ร่วมกับประเด็นอัตลักษณ์ คือการได้เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มลูกหลานผู้อพยพ และได้อ่านบทความในคอลัมน์ "เสียงของรุ่นสอง" ซึ่งทำให้ฉันได้รู้จักชีวิตของคนอื่น ๆ ที่มีเส้นทางคล้ายกัน และค้นพบความรู้สึกร่วมในความแตกต่าง ตัวอย่างเช่น เด็กรุ่นสองที่เติบโตมาในระบบการศึกษาภาษาจีน มักเริ่มเรียนรู้ภาษาของพ่อแม่หลังจากได้ไตร่ตรองเรื่องการย้ายถิ่นและอัตลักษณ์ บางคนเล่าว่า ในฐานะพี่คนโต ต้องช่วยดูแลน้อง ๆ และเป็นคนกลางคลี่คลายความขัดแย้งในครอบครัว ประสบการณ์นี้พบได้ทั่วไปในหลายครอบครัวไต้หวัน แต่ในครอบครัวผู้อพยพ เราอาจมีหน้าที่แปลวัฒนธรรมเพิ่มเติม เพราะในฐานะรุ่นที่สอง เราคือเพื่อนร่วมผจญภัยในเรื่องราวการย้ายถิ่น
ลูกหลานผู้อพยพรุ่นที่สองเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสังคมไต้หวัน และก่อนที่จะสงสัยในอัตลักษณ์ของพวกเขา เราไม่ควรลืมว่า ภายในกลุ่มรุ่นที่สองก็มีความหลากหลายเช่นกัน พวกเขาอาจเป็นรุ่นใหม่ที่เติบโตในไต้หวัน แต่ก็อาจมีรากฐานจากครอบครัวดั้งเดิมในท้องถิ่นเช่นกัน แต่ละคนมีจังหวะและเส้นทางของตัวเอง เรื่องราวของอัตลักษณ์มีคุณค่าอยู่ที่การเข้าใจในความแตกต่าง และการมองเห็นชีวิตที่มีมิติหลากหลายของแต่ละคนที่อยู่เบื้องหลังคำว่า "กลุ่มชาติพันธุ์"