[บทความ / สำนักข่าว CNA] แรงงานข้ามชาติชาวฟิลิปปินส์รายหนึ่ง ต้องการนั่งรถกลับหอพักคนงานแต่ตนไม่มีเงินติดตัว จึงใช้มีดปอกผลไม้เข้าปล้นร้านสะดวกซื้อ กวาดเอาเงินสดไปได้ประมาณ 10,000 เหรียญไต้หวัน และนั่งรถแท็กซี่หลบหนีกลับไปยังโรงงานที่ตำบลเอ้อหลินเมืองจางฮั่ว สำนักงานอัยการศาลท้องถิ่นเมืองจางฮั่วตัดสินจำคุก 7 ปี 1 เดือนในข้อหาปล้นทรัพย์
ตามคำพิพากษาคดีอาญาของสำนักงานอัยการศาลท้องถิ่นเมืองจางฮั่ว แรงงานข้ามชาติชาวฟิลิปปินส์รายหนึ่งได้นั่งรถจากตำบลเอ้อหลินเดินทางไปตัวเมืองจางฮั่วเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2020 แต่ตอนที่เขาจะเดินทางกลับตำบลเอ้อหลิน เป็นช่วงเวลามืดค่ำซึ่งไม่มีรถประจำทางเหลืออยู่แล้ว ทำได้เพียงนั่งรถแท็กซี่กลับหอพักโรงงาน
แรงงานรายนี้ต้องการนั่งรถแท็กซี่กลับหอพัก แต่ตนไม่เหลือเงินติดตัว จึงได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังใบหน้า แล้วใช้มีดปอกผลไม้เป็นอาวุธบุกเข้าปล้นร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในเมืองจางฮั่ว และจี้บังคับให้พนักงานนำเงินสดทั้งหมดในร้านให้ตน พนักงานเกิดความกลัว จึงทำตามคำสั่งและได้ยื่นเงินสดจำนวน 13,000 เTWDให้เขา หลังปล้นร้านสะดวกซื้อ แรงงานได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและทิ้งมีดปอกผลไม้ไว้ที่สถานก่อสร้างแห่งหนึ่งในเมืองจางฮั่ว จากนั้นจึงนั่งแท็กซี่กลับหอพัก
สำนักงานศาลท้องถิ่นเมืองจางฮั่วพิจารณาคดีนี้จากกล้องวงจรปิดและคำให้การของพนักงานร้านสะดวกซื้อ ชี้ว่าร้านสะดวกซื้อมีพนักงานประจำร้านเพียงคนเดียว แรงงานข้ามชาติใช้มีดปอกผลไม้บุกเข้าปล้นร้านสะดวกซื้อ พร้อมทั้งจี้บังคับให้พนักงานนำเงินให้ตน อันเป็นพฤติกรรมข่มขู่ให้เกิดความผวาและหวาดกลัว อีกทั้งใช้มีดปอกผลไม้เป็นอาวุธซึ่งเป็นอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ ถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรง
ผู้พิพากษาชี้ว่า จำเลยใช้มีดปอกผลไม้เป็นอาวุธเพื่อปล้นทรัพย์สินของผู้อื่นเพียงเพราะไม่มีเงินใช้ ซึ่งเป็นการละเมิดความปลอดภัยทางกายภาพของผู้อื่นอย่างร้ายแรง และยังเป็นอันตรายต่อระเบียบสังคมและความปลอดภัยสาธารณะ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาว่าจำเลยให้การรับสารภาพ และเงินสดที่จำเลยปล้นไปจำนวน 13,000 TWD จำเลยได้คืนเงินกลับมา 10,000 TWD จึงได้พิพากษาตัดสินให้จำคุก 7 ปี 1 เดือนในข้อหาปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธร้ายแรง สามารถยื่นอุทธรณ์ได้