จากสถิติพบว่า มีผู้ที่มีปัญหาผมร่วงในช่วงอายุ 25 ถึง 65 ปีในไต้หวันประมาณ 3.6 ล้านคน นอกจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดผมบางจากฮอร์โมนเพศชายแล้ว ปัจจัยอื่นๆ เช่น มลพิษทางอากาศ ความเครียด และการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ส่งผลให้ปัญหาผมร่วงเกิดขึ้นในวัยที่อายุน้อยลงได้ สำหรับผู้ชายที่มีปัญหาผมบางจากฮอร์โมนเพศชาย มักเริ่มต้นจากแนวผมบริเวณหน้าผากร่นลงไปจนกลายเป็นรูปตัว "M" และหากไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาเป็นศีรษะล้านแบบ "เมดิเตอร์เรเนียน"
นายแพทย์หยาง หมิง-เฉวียน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม กล่าวว่า หลายคนมีปัญหารากผมอักเสบและผมร่วง เนื่องจากการสวมหมวกกันน็อกที่อับชื้นหรือการใช้เจลแต่งผมโดยไม่ได้ล้างออกให้สะอาด นอกจากนี้ การใช้วิธีการพื้นบ้าน เช่น ขิงหรือยาคุมกำเนิด อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อหนังศีรษะมากขึ้น ดังนั้น การรักษาผมร่วงควรเริ่มต้นให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเริ่มต้นการรักษาเร็วเท่าไร ก็ยิ่งสามารถปรับปรุงการงอกของเส้นผมได้มากขึ้นผู้ชายหลายคนมีปัญหาผมร่วง (ภาพ/Heho Health)
การรักษาผมร่วงแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ "รักษาที่ปลายเหตุ" และ "รักษาที่ต้นเหตุ"
- วิธีการรักษาที่ปลายเหตุ เช่น การใช้เซรั่มหรือยาเร่งผมงอก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดของรากผมที่อยู่ในช่วงพักตัว แต่หากไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ การหลุดร่วงของเส้นผมก็ยังคงเกิดขึ้นได้
- การรักษาที่ต้นเหตุ คือ การใช้ยารับประทานเพื่อยับยั้งการทำงานของการเผาผลาญฮอร์โมนเพศชายในรากผม
สำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านในบริเวณกว้าง การปลูกผมถือเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ โดยมีสองเทคนิคหลัก คือ
- วิธีการแบบอเมริกัน (FUE) ใช้แหนบในการปลูกผม
- วิธีการแบบเกาหลี ใช้ปากกาปลูกผม ซึ่งต้องการการดำเนินการที่ละเอียดกว่า เพื่อลดความเสี่ยงของการแตกหักของรากผม
หลังการปลูกผม ควรปฏิบัติตามหลัก "3 ไม่ 4 ต้อง" ดังนี้:
- 3 ไม่: ไม่อดนอน ไม่ถูหนังศีรษะ และไม่รับประทานอาหารทอด
- 4 ต้อง: ต้องรักษาความชุ่มชื้น ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ต้องใช้แสงบำบัด และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นผมที่ปลูกใหม่เติบโตอย่างแข็งแรง
สามารถใช้ยารับประทานเพื่อยับยั้งการทำงานของการเผาผลาญฮอร์โมนเพศชายในรูขุมขนได้ (ภาพ/Heho Health)
การรักษาที่ถูกต้องและการดูแลประจำวัน จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงกลับมามีความมั่นใจ และมีเส้นผมที่แข็งแรงและสวยงามอีกครั้ง
บทความนี้ได้รับอนุญาตจาก Heho Health