ร้านขนมเก่าแก่ หลี่ถิงเซียง ซึ่งตั้งอยู่ในย่านต้าเต้าเฉิง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี เป็นร้านยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไต้หวันและต่างชาติแวะมาเลือกซื้อของฝากเมื่อมาเที่ยวถนนตี้ฮว่า
หลี่เจียหยาง ทายาทรุ่นที่ห้าและบุตรชายคนโตของตระกูล แม้จะไม่ได้รับแรงกดดันจากครอบครัว แต่หลังจากทำงานในบริษัท AUO มา 16 ปี เขาก็ตัดสินใจทิ้งงานวิศวกรที่มีเงินเดือนสูงเพื่อกลับมาช่วยบริหารกิจการครอบครัว ด้วยประสบการณ์และมุมมองเฉพาะตัว เขาได้เปิดตัวชุดขนมแนวใหม่ที่เรียกว่า “ขนมสไตล์ไต้หวัน” ซึ่งผสานระหว่างความดั้งเดิมและความทันสมัย เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับแบรนด์
กล่องของขวัญแมวและเต่านำโชคช่วยให้หลี่ถิงเซียงเปลี่ยนโฉมสำเร็จ
หลี่เจียหยางเลือกที่จะปรับเปลี่ยนแบรนด์โดยเน้นคงไว้ซึ่งเทคนิคหลักของร้านคือ “ชั้นแป้ง 27 ชั้น” จากนั้นเขาได้ร่วมกับร้านค้าต่าง ๆ ในต้าเต้าเฉิงจัดกิจกรรม “ประกวดถ่ายภาพแมว” และเปิดตัวขนมทรงหน้าแมวชื่อว่า “เหมียวไพ” ซึ่งมีชั้นแป้ง 27 ชั้น พร้อมกล่องของขวัญลายแมวสุดน่ารัก ขนมนี้จึงกลายเป็นสินค้าสุดฮิตที่ทำให้ภาพลักษณ์ของขนมดั้งเดิมดูมีชีวิตชีวาขึ้นในหมู่วัยรุ่น
นอกจากขนมตามกระแสแล้ว หลี่เจียหยางยังเปิดตัวขนม “เต่านำโชค” ซึ่งเป็นถั่วตัดรูปเต่า สีสันสดใสและดูน่ารัก ซึ่งมักใช้ในพิธีไหว้พระภูมิเจ้าที่เพื่อขอพรให้มั่งคั่ง
หลี่เจียหยางยังได้ออกแบบร้านในสไตล์ “โชวะผสมสแกนดิเนเวีย” โดยผสานบรรยากาศย้อนยุคเข้ากับดีไซน์โมเดิร์น ให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกับขนมและกาแฟพร้อมกับถ่ายรูปสวย ๆ ส่งผลให้ซีรีส์ยอดฮิตจาก Netflix เรื่อง “Light the Night” เลือกใช้ร้านนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำกล่องของขวัญเต่านำโชค (ภาพ/อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของหลี่ถิงเซียง และนิตยสาร Toco Lifestyle)
การเปลี่ยนโฉมก็เหมือนการเสี่ยงโชค! หลี่เจียหยางหวังให้หลี่ถิงเซียงก้าวสู่สากลในฐานะ "ของฝากที่แสดงถึงความจริงใจ"
เบื้องหลังการเปลี่ยนโฉมที่ประสบความสำเร็จนั้นเต็มไปด้วยความพยายาม การทดลอง และการเรียนรู้จากความผิดพลาด หลี่เจียหยางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "ทุกการตัดสินใจเพื่อการเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ ไม่ต่างจากการเสี่ยงโชค" ในช่วงแรกเขาใช้เพียงจินตนาการในการสร้างสรรค์ไอเดีย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น เขาเรียนรู้ที่จะสังเกต สำรวจ และเข้าใจความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และปรับปรุงร้านค้าแล้ว หลี่เจียหยางยังเริ่มคิดถึงวิธีการ “ก้าวออกไปสู่ตลาดสากล” และการสร้าง “ความต้องการใหม่” เขาเชื่อว่าในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ความต้องการของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงตาม ดังนั้น การพัฒนาและค้นหาตลาดที่เหมาะสมกับแบรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
หลี่เจียหยางเชื่อว่าหน้าที่หลักของหลี่ถิงเซียงในขณะนี้ คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ "เป็นของฝากที่แสดงถึงความจริงใจ" โดยตั้งเป้าหมายให้แบรนด์เป็นตัวแทนของไทเปและไต้หวัน เขามองว่าขณะที่ไต้หวันเริ่มเป็นที่จับตามองของนานาชาติ แม้ว่าทุกสายตาจะจับจ้องไปที่ TSMC (บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของไต้หวัน) แต่ยังมีอีกหลายคนที่สนใจวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้และต้องการสำรวจสิ่งเหล่านั้น
ด้วยแนวคิด “ยิ่งท้องถิ่น ยิ่งสากล” หลี่เจียหยางหวังว่าหลี่ถิงเซียงจะสามารถนำเสนอขนมไต้หวันในรูปแบบใหม่ ๆ ที่คงความดั้งเดิม พร้อมส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ และสืบสานวัฒนธรรมดั้งเดิมให้คงอยู่ต่อไป
เมื่อถูกถามถึงหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงแบรนด์ หลี่เจียหยางกล่าวด้วยความมั่นใจว่า:
"วัฒนธรรมดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ที่สุด ควรปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับยุคสมัย แบรนด์เก่าแก่ควรรักษาเทคนิคดั้งเดิมไว้ ในขณะเดียวกันต้องดึงเอาประเด็นที่กำลังเป็นกระแสมาใช้เป็นจุดขาย"
เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นขนมอบหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมล้วนมีคุณค่าและควรได้รับการสืบสาน
"หลี่ถิงเซียงคือร้านขนมเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปี ร้านเก่าแก่เช่นนี้ไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ต้องมีพลังชีวิตที่เข้มแข็ง และต้องมีจิตวิญญาณแห่งการเอาตัวรอด" นี่คือสิ่งที่หลี่เจียหยางเชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้หลี่ถิงเซียงยืนหยัดต่อไปหลี่เจียหยางหวังให้หลี่ถิงเซียงก้าวสู่สากลในฐานะ "ของฝากที่แสดงถึงความจริงใจอย่างแท้จริง" (ภาพ/ได้รับความอนุเคราะห์จากนิตยสาร Toco Lifestyle)
บทความนี้เผยแพร่โดยได้รับอนุญาตจาก Toco Lifestyle Magazine