ในปี 2000 ฉันได้มายังไต้หวันเป็นครั้งแรกในฐานะแรงงานต่างชาติ ทำงานในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ ตอนนั้นฉันยังไม่มีแผนอะไรในชีวิตมากนัก แค่รู้ว่าตัวเองชอบความงาม และชอบพบปะผู้คน ต่อมาฉันกลับเวียดนามอยู่ 3 ปี และกลับมาไต้หวันอีกครั้งเพราะแต่งงานกับคนที่ฉันรัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ในไต้หวัน
ฉันเคยเริ่มทำธุรกิจที่เวียดนามตั้งแต่ยังสาว ตอนอายุ 18 ปี ฉันเปิดร้านชุดแต่งงานของตัวเอง และเป็นช่างแต่งหน้าเจ้าสาวมาโดยตลอด ฉันมีความสนใจอย่างลึกซึ้งด้านความงามและการออกแบบทรงผม หลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่ไต้หวัน ฉันมุ่งมั่นที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคม จึงเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เข้าร่วมกิจกรรมของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มากมาย และยังดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นเวลากว่า 6 ปี ผ่านสมาคมนี้ ฉันได้ช่วยเหลือพี่น้องชาวเวียดนามที่เพิ่งย้ายมาให้เรียนรู้ภาษาและปรับตัวกับชีวิตในไต้หวัน ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันริเริ่มแนวคิด “ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจแบบบ้านหลังที่สอง”
ประสบการณ์ที่ฉันได้เรียนรู้ชัดเจนที่สุดคือ: การทำธุรกิจไม่ใช่ทางที่ง่าย มันต้องใช้เวลา การเตรียมตัว ระบบ และทัศนคติ
เมื่อฉันเริ่มตั้งหลักได้แล้ว ฉันเลือกที่จะแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้ให้พี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่คนอื่น ๆ กลายเป็นที่ปรึกษาและผู้เดินเคียงข้างในเส้นทางของพวกเขา
จากผู้เรียน สู่บทบาทของผู้ให้คำปรึกษา
ฉันเคยให้คำปรึกษาหลายคนในกลุ่มพี่น้องชาวเวียดนามที่มาอยู่ไต้หวัน บางคนเพิ่งมา ยังพูดภาษาจีนไม่คล่อง บางคนก็เริ่มตั้งหลักในชีวิตได้แล้วและอยากทำธุรกิจจากความถนัดของตัวเอง
ไม่ว่าจะมีพื้นฐานแบบใด ฉันมักจะพูดเสมอว่า
"การทำธุรกิจไม่ใช่แค่ความหลงใหลชั่วคราว แต่มันคือการแข่งขันที่ยาวนานและต้องมีความอดทน"
ฉันไม่ได้สอนว่าเราจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้อย่างไร แต่ฉันจะช่วยให้พวกเธอมองเห็นชัดว่า:
เธอพร้อมหรือยัง? เส้นทางนี้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
เราจะช่วยกันวิเคราะห์ความจริง และเดินหน้าไปด้วยกัน
1. การทำธุรกิจไม่ใช่แค่คิดก้าวแรก ต้องวางแผนถึงก้าวที่สาม
ถามตัวเองให้ดีว่า: “ฉันมีทักษะที่มั่นคงพอไหม? ฉันเข้าใจตลาดไต้หวันมากแค่ไหน? รู้กฎหมายหรือยัง? เงินทุนมาจากไหน?”
อย่าเปิดร้านเพียงเพราะมีแรงบันดาลใจชั่ววูบหรือถูกใครชักชวน เพราะจะเจ็บทั้งใจและกระเป๋า
ทัศนคติของผู้ประกอบการต้องปรับตามยุคเสมอ และต้องเรียนรู้เรื่องพื้นฐานให้ครบ: ภาษา กฎหมาย การบริหาร การตลาด การเงิน ฯลฯ
รวมถึงต้องมีความอดทนและพร้อมรับมือกับความท้าทาย
อย่ากลัวความลำบาก ทุกอย่างต้องเริ่มจากฐานราก
2. การดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมายคือพื้นฐาน และคือการป้องกันตัวเอง
ในไต้หวัน ถ้าอยากเปิดร้าน ต้องจดทะเบียนธุรกิจและทำเรื่องภาษีให้ถูกต้อง
นี่ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ยังเป็นการสร้างหลักประกันให้เราสามารถขอเงินสนับสนุน หรือกู้เงินธนาคารในอนาคตได้อย่างสบายใจ
3. การบริหารธุรกิจต้องไม่ใช้แค่ใจ ต้องมีระบบรองรับ
ช่วงเริ่มต้น หลายคนจะทำธุรกิจกับเพื่อนหรือญาติ แม้เราจะคิดว่าการบริหาร “ต้องใช้ใจนำ” แต่หากไม่มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนหรือกติกาที่รัดกุม จะเกิดความขัดแย้งได้ง่าย
ฉันเองเคยวางใจมากเกินไป จนสุดท้ายพนักงานทั้งชุดลาออกไปพร้อมกัน ฉันจึงเข้าใจว่า
“ความไว้วางใจ ต้องมีระบบรองรับ และการแบ่งผลประโยชน์ต้องชัดเจน”
การแบ่งผลประโยชน์อย่างยุติธรรม จะช่วยให้พนักงานรู้สึกมั่นคงและพร้อมเดินไปกับบริษัท
4. ทีมต้องเติบโตได้ด้วยตัวเอง
ทุกวันนี้แค่มีฝีมืออย่างเดียวไม่พอ ต้องสามารถทำการตลาดได้ด้วย
ตอนแรกฉันไม่เคยลงโฆษณาเลย แต่ด้วยเสียงชื่นชมและรีวิวใน Google ร้านของฉันก็มีลูกค้าประจำอย่างรวดเร็ว
ฉันจะสอนให้พี่น้องของฉันรู้จักการถ่ายวิดีโอเบื้องต้น การใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราทำอะไร และสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง
5. มีทุนน้อยไม่เป็นไร แต่ต้องมีแผน
หลายคนเข้าใจว่าการเปิดร้านแค่ต้องมีเงินตกแต่งและซื้ออุปกรณ์ แต่ความจริงคือ 3-6 เดือนหลังเปิดร้าน คือบททดสอบที่แท้จริง
ต้องกันเงินสำหรับการดำเนินงานไว้ ไม่งั้นร้านจะอยู่ไม่ถึงสองเดือน
ฉันเปิดร้านแรกจากการใช้เงินกู้รถ บวกกับเงินสดเล็กน้อย และลงมือทำเองเกือบทุกขั้นตอน ไม่มีเงินสนับสนุนจากรัฐ แต่ใช้พลังของ “เพื่อน”
เพราะฉันอยู่ไต้หวันมานาน เข้าร่วมหลายกลุ่มสะสมเครือข่ายไว้มากมาย ทุกคนพร้อมช่วยฉัน และนั่นคือทุนที่มีค่าที่สุดของฉัน
ฉันไม่ให้คำตอบสำเร็จรูป แต่ช่วยให้พี่น้องมองเห็นเส้นทาง
ในฐานะที่ปรึกษา ฉันมักพูดว่า:
“ฉันจะไม่ตัดสินใจแทนเธอ แต่ฉันจะช่วยให้เธอมองเห็นทางเลือกให้ชัด”
ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉันจะไม่ใช้แบบแผนเดียวกับทุกคน แต่จะช่วยกันหาจังหวะชีวิตที่เหมาะกับเธอ
และฉันก็ย้ำเสมอว่า “การทำธุรกิจไม่ใช่ทางเดียว”
ถ้าเธอยังไม่พร้อม หรือครอบครัวมีภาระมาก ก็เริ่มจากทำงาน เรียนรู้ และตั้งหลักให้มั่นก่อน
ชีวิตไม่ใช่การแข่งขันว่าใครเร็วกว่า แต่ใครเดินมั่นคงกว่าต่างหาก
ความเชื่อของฉัน: ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม
ตลอดทางที่ฉันเดินเคียงข้างผู้หญิงผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ฉันเห็นผู้หญิงเข้มแข็งมากมาย
แม้พวกเธอไม่มีพื้นฐานหรือทุนทรัพย์ แต่พวกเธอเต็มใจเรียนรู้ อดทน และพร้อมลุย
นี่แหละคือพลังที่ฉันอยากปกป้อง
ฉันหวังว่าเมื่อวันหนึ่งพวกเธอได้ยืนอยู่บนเวทีของตัวเอง พวกเธอจะรู้ว่า
“เธอไม่ได้เดินอยู่คนเดียว”
ฉันจะยังอยู่เคียงข้าง เป็นคนที่คอยเตือน คอยส่องแสงไฟให้
เพราะฉันเชื่อว่า “เมื่อเราเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าจะมีกี่คน ก็ย่อมมีคนที่เป็นครูของเรา”