ข่าวเด่นประเด็นร้อน

• 

  • 台灣國旗
  • 越南國旗
  • 泰國國旗
  • 印尼國旗
  • 菲律賓國旗

  สำรวจ 100 ไฮไลต์เด็ดทั่วไต้หวัน! ส่งเรื่องราวทริปในฝันของคุณ เพื่อลุ้นรับรางวัลเที่ยวฟรี!

  กรมการท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคม ไต้หวัน เปิดตัวกิจกรรมประกวดแผนท่องเที่ยวในฝัน “ประสบการณ์เที่ยวจากใจ (樂遊心體驗)” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ เปิดรับผลงานตั้งแต่วันนี้ถึง วันที่ 11 พฤษภาคม เชิญชวนประชาชนส่งแผนการท่องเที่ยวสุดประทับใจ สำรวจ 100 แหล่งท่องเที่ยวเด่นทั่วไต้หวัน พร้อมลุ้นรับทุนสนับสนุนการเดินทางสูงสุด 50,000 เหรียญไต้หวัน รวมมูลค่ารางวัลทั้งสิ้นกว่า 450,000 เหรียญไต้หวันนายโจว หยงฮุย อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวว่า แผนงานที่ส่งเข้าประกวดควรมีเนื้อหาที่ชวนติดตาม สื่อถึงแรงบันดาลใจ และต้องรวมสถานที่ใน 100 แหล่งท่องเที่ยวเด่น อย่างน้อย 2 แห่ง พร้อมสอดคล้องกับแนวคิด การท่องเที่ยวรถไฟคู่ (TRA + THSR) หรือ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 รอบ:รอบแรก จะคัดเลือกแผนงานจำนวน 30 แผน ผู้ผ่านเข้ารอบจะได้รับ ทุนการเดินทาง 10,000 เหรียญไต้หวัน หลังจากเดินทางตามแผนที่เสนอไว้รอบที่สอง ผู้เข้าแข่งขันจะต้องจัดทำ คลิปวิดีโอประสบการณ์ท่องเที่ยว และเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยผลรางวัลจะมาจาก การโหวตของประชาชนร่วมกับการตัดสินของคณะกรรมการ ประกาศผล รางวัลชนะเลิศ 3 อันดับแรก และรางวัลชมเชย 10 รางวัล ในวันที่ 1 ตุลาคม โดยผู้ชนะอันดับ 1 จะได้รับเงินรางวัลสูงสุด 50,000 เหรียญไต้หวันเพื่อสร้างกระแสความสนใจ กรมการท่องเที่ยวได้เชิญอินฟลูเอนเซอร์ท่องเที่ยวชื่อดัง “ลูกเขยไต้หวัน” Xiao Bei Mi Jiang มาร่วมถ่ายทำวิดีโอโปรโมตกิจกรรม แม้เขาจะเคยเดินทางเยือนแหล่งท่องเที่ยวในรายการ 100 แห่งไปแล้วถึง 97 แห่ง แต่ยังไม่เคย “เดินทางแบบละเมียดละไม” ครั้งนี้เขาใช้รูปแบบ “รถไฟ + จักรยาน” เดินทางสำรวจ ท่าเรือประมงหยวนกั่ง และ อ่างเก็บน้ำหลี่อวี่ถาน ในเมืองเหมียวลี่ และได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของชุมชนเล็ก ๆ และความอบอุ่นของผู้คนอย่างลึกซึ้งบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวชื่อดัง Xiao Bei Mi Jiang ออกเดินทางสำรวจ 100 ไฮไลต์เด่นในเมืองเหมียวลี่ สร้างแรงบันดาลใจด้วยหัวใจผ่านการลงมือทำจริง (ภาพจากเว็บไซต์กระทรวงคมนาคม)📣 อย่ารอช้า! ออกเดินทางตามรอย Xiao Bei Mi Jiang แล้วสร้างประสบการณ์เที่ยวจากใจในแบบของคุณเอง ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ 🔗 https://100spotlights.taiwan.net.tw/travel.phpบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวชื่อดัง Xiao Bei Mi Jiang เดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำหลี่อวี่ถานในเมืองเหมียวลี่ เพื่อถ่ายวิดีโอโปรโมตกิจกรรมประกวด “ประสบการณ์ท่องเที่ยวจากใจ” (ภาพ: อ่างเก็บน้ำหลี่อวี่ถาน / ที่มา: เว็บไซต์กระทรวงคมนาคม)

  2025-04-04 09:05
• 

  • 台灣國旗
  • 越南國旗
  • 泰國國旗
  • 印尼國旗
  • 菲律賓國旗

  เดินไปอย่างช้า ๆ บนเส้นทางธุรกิจเคียงข้างพี่น้อง – ประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาด้าน 'สระผมเวียดนาม' ของฉัน

  ในปี 2000 ฉันได้มายังไต้หวันเป็นครั้งแรกในฐานะแรงงานต่างชาติ ทำงานในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ ตอนนั้นฉันยังไม่มีแผนอะไรในชีวิตมากนัก แค่รู้ว่าตัวเองชอบความงาม และชอบพบปะผู้คน ต่อมาฉันกลับเวียดนามอยู่ 3 ปี และกลับมาไต้หวันอีกครั้งเพราะแต่งงานกับคนที่ฉันรัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ในไต้หวันฉันเคยเริ่มทำธุรกิจที่เวียดนามตั้งแต่ยังสาว ตอนอายุ 18 ปี ฉันเปิดร้านชุดแต่งงานของตัวเอง และเป็นช่างแต่งหน้าเจ้าสาวมาโดยตลอด ฉันมีความสนใจอย่างลึกซึ้งด้านความงามและการออกแบบทรงผม หลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่ไต้หวัน ฉันมุ่งมั่นที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคม จึงเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เข้าร่วมกิจกรรมของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มากมาย และยังดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นเวลากว่า 6 ปี ผ่านสมาคมนี้ ฉันได้ช่วยเหลือพี่น้องชาวเวียดนามที่เพิ่งย้ายมาให้เรียนรู้ภาษาและปรับตัวกับชีวิตในไต้หวัน ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันริเริ่มแนวคิด “ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจแบบบ้านหลังที่สอง”ประสบการณ์ที่ฉันได้เรียนรู้ชัดเจนที่สุดคือ: การทำธุรกิจไม่ใช่ทางที่ง่าย มันต้องใช้เวลา การเตรียมตัว ระบบ และทัศนคติเมื่อฉันเริ่มตั้งหลักได้แล้ว ฉันเลือกที่จะแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้ให้พี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่คนอื่น ๆ กลายเป็นที่ปรึกษาและผู้เดินเคียงข้างในเส้นทางของพวกเขาจากผู้เรียน สู่บทบาทของผู้ให้คำปรึกษาฉันเคยให้คำปรึกษาหลายคนในกลุ่มพี่น้องชาวเวียดนามที่มาอยู่ไต้หวัน บางคนเพิ่งมา ยังพูดภาษาจีนไม่คล่อง บางคนก็เริ่มตั้งหลักในชีวิตได้แล้วและอยากทำธุรกิจจากความถนัดของตัวเอง ไม่ว่าจะมีพื้นฐานแบบใด ฉันมักจะพูดเสมอว่า "การทำธุรกิจไม่ใช่แค่ความหลงใหลชั่วคราว แต่มันคือการแข่งขันที่ยาวนานและต้องมีความอดทน"ฉันไม่ได้สอนว่าเราจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้อย่างไร แต่ฉันจะช่วยให้พวกเธอมองเห็นชัดว่า: เธอพร้อมหรือยัง? เส้นทางนี้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง? เราจะช่วยกันวิเคราะห์ความจริง และเดินหน้าไปด้วยกัน1. การทำธุรกิจไม่ใช่แค่คิดก้าวแรก ต้องวางแผนถึงก้าวที่สามถามตัวเองให้ดีว่า: “ฉันมีทักษะที่มั่นคงพอไหม? ฉันเข้าใจตลาดไต้หวันมากแค่ไหน? รู้กฎหมายหรือยัง? เงินทุนมาจากไหน?” อย่าเปิดร้านเพียงเพราะมีแรงบันดาลใจชั่ววูบหรือถูกใครชักชวน เพราะจะเจ็บทั้งใจและกระเป๋า ทัศนคติของผู้ประกอบการต้องปรับตามยุคเสมอ และต้องเรียนรู้เรื่องพื้นฐานให้ครบ: ภาษา กฎหมาย การบริหาร การตลาด การเงิน ฯลฯ รวมถึงต้องมีความอดทนและพร้อมรับมือกับความท้าทาย อย่ากลัวความลำบาก ทุกอย่างต้องเริ่มจากฐานราก2. การดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมายคือพื้นฐาน และคือการป้องกันตัวเองในไต้หวัน ถ้าอยากเปิดร้าน ต้องจดทะเบียนธุรกิจและทำเรื่องภาษีให้ถูกต้อง นี่ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ยังเป็นการสร้างหลักประกันให้เราสามารถขอเงินสนับสนุน หรือกู้เงินธนาคารในอนาคตได้อย่างสบายใจ3. การบริหารธุรกิจต้องไม่ใช้แค่ใจ ต้องมีระบบรองรับช่วงเริ่มต้น หลายคนจะทำธุรกิจกับเพื่อนหรือญาติ แม้เราจะคิดว่าการบริหาร “ต้องใช้ใจนำ” แต่หากไม่มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนหรือกติกาที่รัดกุม จะเกิดความขัดแย้งได้ง่าย ฉันเองเคยวางใจมากเกินไป จนสุดท้ายพนักงานทั้งชุดลาออกไปพร้อมกัน ฉันจึงเข้าใจว่า “ความไว้วางใจ ต้องมีระบบรองรับ และการแบ่งผลประโยชน์ต้องชัดเจน” การแบ่งผลประโยชน์อย่างยุติธรรม จะช่วยให้พนักงานรู้สึกมั่นคงและพร้อมเดินไปกับบริษัท4. ทีมต้องเติบโตได้ด้วยตัวเองทุกวันนี้แค่มีฝีมืออย่างเดียวไม่พอ ต้องสามารถทำการตลาดได้ด้วย ตอนแรกฉันไม่เคยลงโฆษณาเลย แต่ด้วยเสียงชื่นชมและรีวิวใน Google ร้านของฉันก็มีลูกค้าประจำอย่างรวดเร็ว ฉันจะสอนให้พี่น้องของฉันรู้จักการถ่ายวิดีโอเบื้องต้น การใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราทำอะไร และสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง5. มีทุนน้อยไม่เป็นไร แต่ต้องมีแผนหลายคนเข้าใจว่าการเปิดร้านแค่ต้องมีเงินตกแต่งและซื้ออุปกรณ์ แต่ความจริงคือ 3-6 เดือนหลังเปิดร้าน คือบททดสอบที่แท้จริง ต้องกันเงินสำหรับการดำเนินงานไว้ ไม่งั้นร้านจะอยู่ไม่ถึงสองเดือน ฉันเปิดร้านแรกจากการใช้เงินกู้รถ บวกกับเงินสดเล็กน้อย และลงมือทำเองเกือบทุกขั้นตอน ไม่มีเงินสนับสนุนจากรัฐ แต่ใช้พลังของ “เพื่อน” เพราะฉันอยู่ไต้หวันมานาน เข้าร่วมหลายกลุ่มสะสมเครือข่ายไว้มากมาย ทุกคนพร้อมช่วยฉัน และนั่นคือทุนที่มีค่าที่สุดของฉันฉันไม่ให้คำตอบสำเร็จรูป แต่ช่วยให้พี่น้องมองเห็นเส้นทางในฐานะที่ปรึกษา ฉันมักพูดว่า: “ฉันจะไม่ตัดสินใจแทนเธอ แต่ฉันจะช่วยให้เธอมองเห็นทางเลือกให้ชัด” ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉันจะไม่ใช้แบบแผนเดียวกับทุกคน แต่จะช่วยกันหาจังหวะชีวิตที่เหมาะกับเธอและฉันก็ย้ำเสมอว่า “การทำธุรกิจไม่ใช่ทางเดียว” ถ้าเธอยังไม่พร้อม หรือครอบครัวมีภาระมาก ก็เริ่มจากทำงาน เรียนรู้ และตั้งหลักให้มั่นก่อน ชีวิตไม่ใช่การแข่งขันว่าใครเร็วกว่า แต่ใครเดินมั่นคงกว่าต่างหากความเชื่อของฉัน: ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามตลอดทางที่ฉันเดินเคียงข้างผู้หญิงผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ฉันเห็นผู้หญิงเข้มแข็งมากมาย แม้พวกเธอไม่มีพื้นฐานหรือทุนทรัพย์ แต่พวกเธอเต็มใจเรียนรู้ อดทน และพร้อมลุย นี่แหละคือพลังที่ฉันอยากปกป้องฉันหวังว่าเมื่อวันหนึ่งพวกเธอได้ยืนอยู่บนเวทีของตัวเอง พวกเธอจะรู้ว่า “เธอไม่ได้เดินอยู่คนเดียว” ฉันจะยังอยู่เคียงข้าง เป็นคนที่คอยเตือน คอยส่องแสงไฟให้ เพราะฉันเชื่อว่า “เมื่อเราเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าจะมีกี่คน ก็ย่อมมีคนที่เป็นครูของเรา”

  2025-03-31 09:00
• 

  • 台灣國旗
  • 越南國旗
  • 泰國國旗
  • 印尼國旗
  • 菲律賓國旗

  การกินข้าวคนเดียวกลายเป็นเทรนด์ใหม่! 5 ข้อดีที่ลบภาพความเหงาออกไป

  เมื่อเวลาผ่านไป แนวคิดเรื่อง “การกินข้าวคนเดียว” ได้รับการยอมรับมากขึ้นในสังคม และยังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่มาแรงในยุคปัจจุบัน ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีร้านอาหารมากมายที่ออกแบบพื้นที่รับประทานอาหารแบบโต๊ะเดี่ยวสำหรับลูกค้าที่มากินคนเดียว ทำลายภาพจำเดิม ๆ ที่ว่า “กินข้าวคนเดียวดูน่าสงสาร” จากการสำรวจและวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ พบว่าการกินข้าวคนเดียวไม่เพียงแต่สะดวกสบาย แต่ยังมีประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ5 ข้อดีของการกินข้าวคนเดียว✦ ไม่ต้องตามใจใคร เลือกกินได้ตามใจชอบ ข้อดีอันดับแรกของการกินข้าวคนเดียวคือสามารถเลือกกินอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ไม่ต้อง迎合หรือตามใจรสนิยมของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่แคลอรีสูงหรือของกินเล่นเฉพาะตัว ก็สามารถลิ้มรสได้อย่างอิสระ✦ โฟกัสกับรสชาติอาหารได้เต็มที่ การกินข้าวคนเดียวช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับรสชาติ กลิ่น และหน้าตาของอาหารได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกรบกวนจากบทสนทนา ทำให้ประสบการณ์ในการลิ้มรสอาหารมีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น✦ กำหนดจังหวะการกินได้เอง มีงานวิจัยระบุว่า คนเรามักปรับจังหวะการกินตามคนรอบข้าง แต่เมื่อกินคนเดียว เราสามารถกำหนดจังหวะการกินของตัวเองได้โดยไม่รู้สึกกดดันหรือแข่งขัน ทำให้การกินอาหารกลายเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย✦ เลือกเวลาและสถานที่ได้ตามใจ การกินคนเดียวไม่ต้องเสียเวลาในการนัดหมายหรือหาสถานที่กับใคร อยากกินเมื่อไหร่ก็ไปได้เลย สถานที่และเวลาจึงมีความยืดหยุ่นสูง ตอบโจทย์ชีวิตอิสระ✦ ช่วยควบคุมอาหารได้ดีขึ้น ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอร์เจียเผยว่า การกินข้าวกับเพื่อนอาจทำให้เรากินมากขึ้นถึง 44% เมื่อเทียบกับเวลาที่กินตามลำพัง ดังนั้นการกินข้าวคนเดียวจึงช่วยให้ควบคุมปริมาณอาหารได้ดีขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักกระแสใหม่ของยุคสมัย: การเติบโตของร้านอาหารแบบโต๊ะเดี่ยวร้านอาหารหลายแห่งเริ่มให้บริการโต๊ะเดี่ยว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคนที่เลือกกินข้าวคนเดียว สำหรับคนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ การกินคนเดียวไม่ใช่แค่ความสะดวกสบาย แต่ยังเป็นโอกาสในการพักผ่อนและผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ผู้คนไม่ได้มองว่าการกินข้าวคนเดียวเป็นเรื่องเหงาอีกต่อไป แต่กลับมองว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตกับตัวเองอย่างมีคุณภาพการกินข้าวคนเดียวไม่ต้องแบ่งใคร ทำให้สามารถโฟกัสกับรสชาติ กลิ่น และหน้าตาของอาหารได้อย่างเต็มที่ และดื่มด่ำกับประสบการณ์การลิ้มรสอย่างแท้จริง (ภาพ: Pexels)

  2025-04-03 09:05