การปลูกต้นไม้มักถูกมองว่าเป็นวิธีที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน เนื่องจากต้นไม้สามารถดูดซับคาร์บอนในบรรยากาศได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการปลูกต้นไม้ในบางพื้นที่ เช่น อาร์กติก (Alaska, Greenland และ Iceland) อาจทำให้ปัญหาภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นแทนที่จะช่วยลด
ทีมวิจัยนานาชาติพบว่าหิมะและน้ำแข็งในเขตอาร์กติกสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ถึง 75% ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิพื้นผิวโลก แต่การปลูกต้นไม้ทำให้พื้นผิวมืดลง ลดการสะท้อนแสงเหลือเพียง 50% หรือต่ำกว่า ส่งผลให้หิมะละลายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ดินในเขตอาร์กติกมีคาร์บอนสะสมอยู่มากกว่าป่าในเขตร้อนทั่วโลก การปลูกต้นไม้ในพื้นที่เหล่านี้อาจกระตุ้นการปล่อยคาร์บอนจากดินเพิ่มขึ้น
รากต้นไม้ยังช่วยกระตุ้นจุลินทรีย์ในดิน ทำให้คาร์บอนที่สะสมมาหลายพันปีถูกปล่อยออกมาในกระบวนการที่เรียกว่า "Priming Effect" นอกจากนี้ เขตอาร์กติกยังเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า แมลงศัตรูพืช และสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิในอาร์กติกสูงขึ้นกระบวนการปลูกต้นไม้อาจปลดปล่อยคาร์บอนในดินออกมา ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาสภาพอากาศร้อนขึ้นรุนแรงกว่าเดิม
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีการที่ยั่งยืนมากกว่า เช่น การใช้สัตว์กินพืชขนาดใหญ่ เช่น กวางเรนเดียร์ เพื่อควบคุมพืชพรรณในพื้นที่ สัตว์เหล่านี้ช่วยลดอุณหภูมิในดิน รักษาชั้นดินเยือกแข็ง และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับชุมชนท้องถิ่น
นักวิจัยย้ำว่าการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนควรใช้วิธีการแบบองค์รวม โดยผสมผสานวิธีการที่เหมาะสมกับธรรมชาติและร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น