[เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่] ผู้แปล/นงค์รักษ์ เหล่ากอคำ (李慧毓)
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดส่วนกลาง ประกาศเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมว่า มีผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศรายใหม่จำนวน 6 รายและผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 2 รายอยู่ระหว่างการตรวจสอบแหล่งที่มาของการติดเชื้อ กรณีผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่าง แบ่งเป็น ประเทศอินโดนีเซีย (กรณีที่ 1147 และกรณีที่ 1150) ประเทศไทย (กรณีที่ 1149) ประเทศอินเดีย (กรณีที่ 1148 และกรณีที่ 1151) และฟิลิปปินส์ (กรณีที่ 1152) ทีเหลืออีก 2 กรณีที่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบแหล่งที่มาของการติดเชื้อ แบ่งเป็น นักบิน (กรณีที่ 1153) และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน(กรณีที่ 1154)
ในส่วนของกรณีที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1147 เป็นชาวประมงชาย ชาวอินโดนีเซีย อายุ 20 ปี เมื่อวันที่ 16 เมษายน ได้เดินทางเข้ามาทำงานในไต้หวัน โดยมีรายงานผลการทดสอบเป็นลบภายใน 3 วันก่อนบินเข้าประเทศ หลังจากที่มาถึงได้เดินทางต่อไปยังโรงแรมเพื่อทำการกักตัวทันที ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม หลังวันครบกำหนดของการกักตัว บริษัทจัดให้มีการตรวจสุขภาพและผลการวินิจฉัยได้รับการยืนยันในวันนี้แล้วว่าติดโควิด (ค่าCt คือ 32) กรณีดังกล่าวไม่มีอาการระหว่างที่เขาอยู่ในไต้หวัน มีผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยรายนี้จำนวน 18 ราย หนึ่งในจำนวนนี้กักตัวอยู่ที่บ้าน และอีก 17 รายจัดให้มีการตรวจสอบสุขภาพตนเองเป็นอิสระ
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1148 เป็นชายชาวไต้หวัน วัย 60 ปี เมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 ได้เดินทางไปเจรจาคดีที่อินเดียใน ในช่วงระยะเวลาของการทำงานเขาได้มีการสัมผัสกับผู้ป่วย ต่อมาในวันที่ 24 เมษายน เริ่มมีอาการอ่อนแรง จนกระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคมได้เดินทางกลับไต้หวัน โดยมีรายงานผลการทดสอบเป็นลบภายใน 3 วันก่อนบินเข้าประเทศ หลังจากที่มาถึงได้เดินทางต่อไปยังโรงแรมเพื่อทำการกักตัวทันที ในวันที่ 2 พฤษภาคม เริ่มมีอาการได้รับกลิ่นผิดปกติ ดังนั้นหน่วยป้องกันโรคจึงจัดให้มีการตรวจสุขภาพและการวินิจฉัยได้รับการยืนยันในวันนี้แล้วว่าติดโควิด (ค่าCt คือ 25) รายงานระบุว่ามีผู้สัมผัสกับผู้ป่วยรายนี้จำนวน 28 ราย แบ่งเป็น 13 รายเป็นผู้โดยสารที่นั่งสองแถวก่อนและหลังในเที่ยวบินเดียวกัน ขณะนี้จัดให้มีการกักตัวที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย และอีก 15 รายที่เหลืออยู่จัดให้มีการตรวจสอบสุขภาพตนเองอย่างอิสระ
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1149 เป็นชายชาวไต้หวัน วัย 50 ปี ในเดือนมกราคม เขาได้ไปทำงานที่ประเทศไทย และวันที่ 2 พฤษภาคมได้เดินทางกลับมายังไต้หวัน ขณะที่เดินทางมาถึงที่สนามบินได้มีการวัดอุณหภูมิ ซึ่งเขามีอุณหภูมิสูงถึง 38.2 องศา ดังนั้นแพทย์จัดให้มีการแยกตัวออกไป พร้อมตรวจร่างกายทันทีและได้รับการยืนยันในวันนี้แล้วว่าติดโควิด (ค่าCt คือ 25) มีผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยรายนี้จำนวน 49 ราย แบ่งเป็นผู้โดยสาร 28 รายในที่นั่งสองแถวหน้าและหลัง ขณะนี้จัดให้มีการกักตัวที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอีก 21 รายเป็นลูกเรือทั้งหมด ขณะนี้ได้จัดให้มีการดูแลอย่างเหมาะสม พร้อมการตรวจสอบสุขภาพแล้ว
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1150 เป็นชาวประมงชาย ชาวอินโดนีเซีย อายุ 30 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายน ได้เดินทางมาทำงานในไต้หวัน โดยมีรายงานผลการทดสอบเป็นลบภายใน 3 วันก่อนบินเข้าประเทศ หลังจากที่มาถึงได้เดินทางต่อไปยังศูนย์กักตัวส่วนกลางเพื่อทำการกักตัวทันที ต่อมาในวันที่ 3 พฤษภาคม ก่อนวันครบกำหนดของการกักตัวได้มีการตรวจร่างกายอีกครั้งและการวินิจฉัยได้รับการยืนยันในวันนี้ว่าติดโควิด (ค่าCt คือ 34) กรณีนี้ไม่มีอาการขณะอยู่ในไต้หวันและไม่ได้สัมผัสกับผู้อื่นในช่วงระยะเวลาของการกักตัว ดังนั้นจึงไม่มีรายชื่อกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1151 เป็นชายชาวอินเดีย วัย 20 ปี วันที่ 16 เมษายนปีนี้ เขาได้เดินทางมาศึกษาที่ไต้หวัน โดยมีรายงานผลการทดสอบเป็นลบภายใน 3 วันก่อนบินเข้าประเทศ หลังจากที่มาถึงได้เดินทางต่อไปยังสถานที่กักที่ทางมหาลัยได้จัดเตรียมไว้ให้ทันที ต่อมาในวันที่ 3 พฤษภาคมได้เข้ารับการตรวจร่างกายอีกครั้งและได้รับผลการวินิจฉัยในวันนี้แล้วว่าติดโควิด (ค่าCt คือ 37) กรณีนี้ไม่มีอาการในระหว่างที่เขาอยู่ในไต้หวันและเขาไม่ได้สัมผัสกับผู้อื่นในช่วงระยะเวลาของการกักตัว ดังนั้นจึงไม่มีรายชื่อกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1152 เป็นผู้แรงงานต่างชาติชาย ชาวฟิลิปปินส์ อายุ 20 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายนได้เดินทางมาทำงานในไต้หวัน โดยมีรายงานผลการทดสอบเป็นลบภายใน 3 วันก่อนบินเข้าประเทศ หลังจากที่มาถึงได้เดินทางต่อไปยังศูนย์กักตัวส่วนกลางเพื่อทำการกักตัวทันที ต่อมาในวันที่ 3 พฤษภาคม ก่อนวันครบกำหนดของการกักตัวได้เข้ารับการตรวจร่างกายอีกครั้งและการวินิจฉัยได้รับการยืนยันในวันนี้ว่าติดโควิด กรณีนี้ไม่มีอาการในระหว่างที่เขาอยู่ในไต้หวันและเขาไม่ได้สัมผัสกับผู้อื่นในช่วงระยะเวลาของการกักตัว ดังนั้นจึงไม่มีรายชื่อกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม
ต่อมาอีก 2 กรณีที่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบแหล่งที่มาของการติดเชื้อ ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1153 เป็นชายชาวไต้หวัน วัย 30 ปี เป็นนักบินที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนถึง 18 เมษายน เมื่อเดินทางกลับมาถึงไต้หวันได้ทำการกักตัวที่บ้านจนถึงวันที่ 21 เมษายน เมื่อวันที่ 25 เมษายนหลังวันครบกำหนดของการกักตัวได้เข้ารับการตรวจร่างกาย ผลตรวจออกมาเป็นลบ ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม เริ่มมีอาการไข้ ไอและน้ำมูกไหล จึงได้รีบแจ้งข่าวไปยังทางบริษัท ในเวลาเดียวกันได้ติดต่อนัดหมายขอเข้ารับการตรวจสุขภาพอีกครั้งและได้รับการวินิจฉัยในวันนี้แล้วว่าติดโควิด (ค่าCt คือ13) ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจหาแหล่งที่มาของเชื้ออยู่ ในเบื้องต้นผู้ป่วยรายนี้ได้สัมผัสกับผู้อื่นจำนวน 15 ราย โดย 13 รายจัดให้มีการกักตัวที่บ้านและอีก 2 รายจัดให้มีการจัดการด้านสุขภาพของตนเองอย่างอิสระ
ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดระบุว่า กรณีที่ 1154 เป็นหญิงชาวไต้หวัน อายุ 20 ปี เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนถึง 25 เมษายน เธอได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากกลับถึงไต้หวันเธอได้เดินทางไปกักตัวที่โรงแรมในสนามบินจนถึงวันที่ 28 เมษายนทันที ต่อมาในวันที่ 30 เมษายนหลังวันครบกำหนดของการกักตัว ได้เดินทางไปตรวจร่างกายที่ศูนย์กักตัวส่วนกลางและผลออกมาเป็นลบ จนกระทั่งในวันที่ 2 พฤษภาคม ได้มีอาการตัวร้อน เวียนหัว ปวดท้อง จึงขอเข้ารับการตรวจร่างกายอีกครั้งและได้รับการวินิจฉัยในวันนี้ว่าติดโควิด (ค่าCt คือ 14) กรณีนี้ไม่ได้สัมผัสกับผู้อื่นในช่วงระยะเวลาของการกักตัว ดังนั้นจึงไม่มีรายชื่อกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม
จากสถิติของศูนย์บัญชาการแพร่ระบาดของโรคขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อแล้วทั้งหมด 210,553 ราย ในประเทศจีน (ไม่รวม 208,190 ราย ในจีนแผ่นดินใหญ่) ซึ่งมีผู้ติดเชื้อสะสมในไต้หวันจำนวน 1,153 ราย ประกอบด้วย ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน 1,009 ราย ผู้ติดเชื้อในท้องถิ่น 94 ราย ผู้ติดเชื้อจากกองเรือตุนมู่(敦睦) 36 ราย ผู้ติดเชื้อบนเครื่องบิน 2 ราย ไม่ทราบสาเหตุอีก 1 ราย อยู่ในระหว่างการตรวจสอบแหล่งที่มาของเชื้อ 11 ราย และ(กรณีที่ 530) เป็นหมายเลขว่าง โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 12 รายและอีก 1,067 ราย ได้รับการปล่อยตัวจากการกักตัวแล้ว ที่เหลืออีก 74 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไป