ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกระบุว่า ในศตวรรษที่ 21 โรคซึมเศร้าเป็นภัยต่อสุขภาพของมนุษย์อันดับหนึ่ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มของวัยรุ่น ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการจึงจัดงานแถลงข่าวพิเศษ พร้อมเชิญสมาคมจิตเวชศาสตร์ สมาคมจิตวิทยาคลินิกและที่ปรึกษา สมาคมนักจิตวิทยาธุรกิจ และสมาคมการศึกษาทั้ง 7 แห่งร่วมกันวางแผน โครงการสนับสนุนสุขภาพจิตสำหรับเยาวชน เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณของเยาวชนทั้งหลาย
อ่านข่าวเพิ่มเติม : ประกาศผลการประกวดรางวัลวรรณกรรมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานต่างชาติครั้งที่ 8 ประจำปี 2023
กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการได้วางแผนโครงการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนเพื่อช่วยให้เยาวชนพ้นจากภาวะซึมเศร้า ภาพ/นำมาจาก Pixabay
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2016 ถึง 2021 ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15 ถึง 30 ปี ได้รับการวินิจฉัยโรคจิตเวชเพิ่มขึ้นจาก 221,000 เป็น 292,000 ราย และสัดส่วนของผู้ที่ได้รับการประกันสุขภาพก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เติบโตจาก 4.8% เป็น 7.0% รัฐได้อาศัยสายด่วนอุ่นใจ ทำความเข้าใจกับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก เช่น ภาวะซึมเศร้า ปัญหาครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลคิดเป็น 70%
นอกจากนี้ ในระยะ 10 ปีมานี้ อัตราการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นไต้หวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดย 1 ใน 4 ของเด็กนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตาย ขณะที่ 1 ใน 10 มีการวางแผนฆ่าตัวตายด้วย อย่างไรก็ตาม เกือบ 40% ของหนุ่มสาวที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้เข้ารับการรักษา
อ่านข่าวเพิ่มเติม : เปิดตัวกลไกการประเมินภาษาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เพื่อสืบทอดภาษาแม่และสร้างความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมต่อไป
กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการได้วางแผนโครงการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนเพื่อช่วยให้เยาวชนพ้นจากภาวะซึมเศร้า ภาพ/โดย衛生福利部
เพื่อเป็นการส่งเสริมให้วัยรุ่นมีสุขภาพจิตที่ดี กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันจึงจัดแถลงข่าวประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมสุขภาพจิตที่แข็งแรงให้แก่วัยรุ่นอายุ 15-30 ปี โดยนโยบายดังกล่าวเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายข้างต้นสามารถเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพจิตฟรีคนละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ เพียงประชาชนสแกน QR CODE ก็สามารถเข้ารับคำปรึกษาฟรีจากสถานพยาบาลหรือหน่วยงานสุขภาพจิตใกล้บ้าน กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการเผยว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลเข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 300 แห่ง ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีการขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังสถานพยาบาลต่างๆเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง