ไทยห้ามพกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศเกิน 30 ชิ้น เว้นแต่มีใบรับรองแพทย์พกติดตัวได้ 50 ชิ้น

ภาพจาก ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ 

ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019) ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในประเทศจีนจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าการแพร่ระบาดในพื้นที่นอกประเทศจีนมีความวิกฤตมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ เช่น เกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่าน ทำให้หลายคนเกิดความวิตกกังวลและต้องหาอุปกรณ์ในการป้องกันไวรัสมาไว้ใช้ป้องกันตนเอง หนึ่งในนั้นคือ หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค

ทำให้ที่ผ่านมาเกิดการกักตุนสินค้าหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคจนสินค้าขาดตลาด หลายคนไม่สามารถหาซื้อได้ทันเวลา อย่างไรก็ตามรัฐบาลไต้หวันได้ใช้ระบบจำกัดการซื้อหน้ากากอนามัยเข้ามาใช้ เพื่อกระจายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงหน้ากากอนามัยได้ และไม่เกิดการกักตุน โดยยกเลิกการขายหน้ากากอนามัยในร้านสะดวกซื้อทั้งหมด และจัดให้ขายที่ร้านขายยาที่กำหนดทั่วประเทศแทน รวมทั้งกำหนดราคาไว้ที่ชิ้นล่ะ 5 เหรียญไต้หวันเท่านั้น สำหรับการซื้อนั้นต้องใช้บัตรประกันสุขภาพในการซื้อเพื่อจัดเก็บลงบนฐานข้อมูลว่าประชาชนซื้อหน้ากากอนามัยไปแล้วกี่ชิ้นในระยะเวลาที่กำหนด และซื้อจากร้านขายยาไหน เช่น ระเบียบการจำกัดการซื้อหน้ากากอนามัยล่าสุดอนุญาติให้ประชาชน 1 คน ต่อบัตรประกันสุขภาพ 1 ใบ ซื้อหน้ากากอนามัยผู้ใหญ่ได้ 3 ชิ้นต่อ สัปดาห์ และมีการแบ่งวันที่สามารถซื้อได้ตามเลขท้ายของเลขที่ประจำตัวประชาชนด้วย เช่นเลขคู่จะซื้อได้ในวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ ส่วนเลขคี่จะซื้อได้ในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ และในวันอาทิตย์ทุกคนจะมีสิทธิ์ซื้อ เพื่อเสียบบัตรประกันสุขภาพลงในเครื่องอ่าน ข้อมูลการซื้อของแต่ละคนก็จะแสดงในคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ ชาวไต้หวันยังสามารถใช้แอพลิเคชันตรวจสอบว่าร้านขายยาไหนมีหน้ากากอนามัยขายบ้าง สามารถตรวจสอบก่อนเดินทางไปซื้อ เพื่อความรวดเร็วและไม่เสียเวลา

สำหรับประเทศไทย คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีการประกาศห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้ส่วนตัวในต่างประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถพกติดตัวไปได้ไม่เกิน 30 ชิ้น ยกเว้นผู้ป่วยที่มีใบรับรองแพทย์ สามารถนำติดตัวไปได้ไม่เกิน 50 ชิ้น โดยกฎดังกล่าวมีการบังคับใช้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย 2563 เว้นแต่จะมีการออกประกาศใหม่ ผู้ที่ฝ่าฝื่นจะมีโทษตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่มีการจำกัดการซื้อหน้ากากอนามัยในประเทศ ซึ่งทำให้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดตลาดยังคงมีอยู่