นับตั้งแต่เดือนพฤษจิกายน 2019 ที่เชื้อไวรัสโควิด 19 ระบาดที่อู่ฮั่นประเทศจีน และได้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รัฐบาลไต้หวันก็ได้ประกาศมาตรการควบคุมเขตแดน โดยเริ่มตั้งแต่การให้ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากอู่ฮั่นต้องสำแดงใบตรวจเชื้อก่อนการเดินทาง ภายหลังได้งดการเดินทางเข้าประเทศ จนกระทั่งวันที่ 19 มีนาคมที่ได้ประกาศปิดประเทศเป็นครั้งแรก โดยงดการเดินทางเข้าประเทศสำหรับชาวต่างชาติทั้งหมด
“วีรบุรุษชุดขาว” ปกป้องไต้หวัน ภาพ/จากโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว
ในช่วงแรกไต้หวันประสบความสำเร็จในการป้องกันโควิด สร้างสถิติ 8 เดือนติดต่อกันที่มีผู้ติดเชื้อเป็น 0 แต่ทว่านับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 เป็นต้นมา ไต้หวันก็ได้มีผู้ติดเชื้อทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องออกมาร่วมมือกันสู้รบกับสถานการณ์โรคระบาด โดย [เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่] ก็ได้สัมภาษณ์ไปยัง “วีรบุรษเสื้อขาว”แห่งโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว ว่ามีมาตราการอย่างไรในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้
หมอเฉินฉางยวี่กล่าวว่า ประชาชนควรระมัดระวังสุขภาพตนเองสม่ำเสมอ ภาพ/จากโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว
- สถานการณ์โรคระบาดในประเทศปะทุ นายแพทย์ชุดขาวออกรบต้านโควิด
เหตุการณ์คลัสเตอร์ในไต้หวันนับตั้งแต่ 20 เมษายนเป็นต้นมา ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนก็ทำให้สถานการณ์ในไต้หวันทวีความรุนแรง โดยเริ่มจากไทเปและนิวไทเป กระจายไปสู่ทั่วไต้หวัน สถานการณ์แบบนี้ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตคิดเป็น 3.38% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยมีผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 กว่า 30% ที่ติดเชื้อและมีอาการรุนแรง ทำให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ต้องช่วยกันในการจัดหาเตียงดูแลผู้ป่วย
นายแพทย์เฉินฉางยวี่แห่งโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยวกล่าวว่า นับตั้งแต่ก่อนที่จะยกระดับการป้องกันเป็นระดับ 3 หากผู้ใดมีอาการตัวร้อนและนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็จะมีการตรวจเชื้อทันที ถ้าตรวจพบก็จะพาไปรักษาตัวที่ห้องกักตัวทันที แต่ทว่าตอนนั้นอัตราการแพร่ระบาดๆไม่ได้สูงมาก จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม คลัสเตอร์การแพร่ระบาดในชุมชนต่าง ๆ ทำให้ไต้หวันต้องยกระดับการป้องกันไปสู่ระดับ 3 พร้อมทั้งตรวจเชื้อผู้ป่วยทุกคนที่นอนโรงพยาบาลไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอาการก็ตาม
อ่านข่าวเพิ่มเติม: ในยุคโรคระบาด เสียงเรียกร้องจากห้องหัวใจ “ตำรวจ” ว่านฮวา รับผิดชอบในหน้าที่สำคัญ
หมอเฉินฉางยวี่เรียกร้องประชาชน หากไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องทำ Rapid Test ตรวจเชื้อ ภาพ/จากโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว
สถานการณ์การรักษาในเมืองไทเปและนิวไทเปกลับเข้าสู่สภาวะมั่นคง ภาพ/จากโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว
แต่ทว่า สถานการณ์การแพร่กระจายของโรคระบาดก็ได้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้การดูแลในโรงพยาบาลต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ โดยนับตั้งแต่การยกระดับเป็นระดับ 3 โรงพยาบาลเมืองไทเป ก็ได้งดรับผู้ป่วยและเปลี่ยนเป็นการให้คำปรึกษาผ่านทางวิดีโอออนไลน์ พร้อมทั้งจัดสถานที่รับยาภายนอก โดยการนำบัตรประกันสุขภาพพร้อมทั้งใบสั่งยาของหมอ ไปรับได้ที่หน้าประตูโรงพยาบาลโดยไม่ต้องเข้าไปภายในโรงงพยาบาล โดยประชาชนสามารถจองคิวเพื่อรับยาได้
หมอเฉินฉางยวี่เรียกร้องประชาชน หากไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องทำ Rapid Test ตรวจเชื้อ ภาพ/จากโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว
- กังวลว่าท้องเสียจะเป็นโควิด 3 อาการที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
สถานการณ์โควิดในประเทศทวีความรุนแรง ไม่เพียงแต่สามารถแสดงอาการตัวร้อน ไอ น้ำมูกไหลและอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจแล้ว ก็มีผู้ป่วยบางรายที่มีอาการท้องเสีย ดังนั้นศูนย์บัญชาการป้องกันโรคระบาดกลางจึงได้จัดอาการท้องเสียเข้าไปอยู่ในอาการที่จะต้องพิจารณา โดยหากผู้ป่วยมีอาการท้องเสียอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าศูนย์เสียประสาทสัมพันธ์การรับรู้รสและกลิ่น และมีประวัติเดินทางไปต่างประเทศใน 14 วันหรือมีการสัมผัสกับบุคคลที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หรือสัมผัสกับบุคคลที่เป็นโควิดก็สามารถเข้ารับการตรวจเชื้อได้
หมอเฉินฉางยวี่กล่าวว่า อาการท้องเสียมีสาเหตุได้หลายประการ หากประชาชนไม่มีประวัติการสัมผัสเชื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปว่าติดโควิดหรือเปล่า ขอเพียงแค่ปฎิบัติตนตามมาตรการป้องกันการเฝ้าระบาด สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ
อ่านข่าวเพิ่มเติม: อบอุ่นเหลือเกิน! นางฟ้าตัวน้อยที่บินช้า “หลินซิ่งหลง” ฉายา “ราชินีน้อยนักร้องสำเนียงไต้หวัน” ร้องเพลงขอบพระคุณแม่
หมอเฉินฉางยวี่แชร์ประสบการณ์เรื่องราวที่น่าประทับใจในห้องฉุกเฉิน ภาพ/จากโรงพยาบาลเมืองไทเปเขตจงเสี้ยว
- ระยะห่างระหว่างไวรัสที่ใกล้ที่สุด มาช่วยกันถือตะข่ายป้องกันโรคระบาดในไต้หวัน
ภายใต้สถานการณ์โควิดที่กำลังปะทุอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาที่ไต้หวันต้องเผชิญหน้าอย่างไม่ย่อท้อ ในช่วงที่ยังไม่มียาใดที่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการรักษาถูกวิจัยออกมา บุคลากรทางการแพทย์ต่างก็ต้องร่วมมือกัน
นายแพทย์เฉินฉางยวี่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องฉุกเฉินให้กับ [เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่] ว่า โรงพยาบาลเคยรับผู้ป่วย “ภาวะพร่องอ๊อกซิเจนแบบไม่แสดงอาการ” การจะช่วยเหลือได้จะต้องใส่ท่อเพียงอย่างเดียว ลูก ๆ ต่างก็ไม่อยากให้คุณแม่ต้องทนเจ็บ จึงตัดสินใจว่าจะไม่รักษาต่อ แต่ทว่าผู้ป่วยท่านนี้ ใช้โทรศัพท์ไม่เป็น จึงได้แต่ฝากข้อความผ่านพยาบาล “ขอให้แม่สบายใจ พวกเราจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี” นี่คือคำพูดสุดท้ายในชีวิตที่ลูกชายได้พูดคุยกับแม่
ผู้ป่วยอาการหนักและอัตราการเสียชีวิตของไต้หวันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ป่วยอาการไม่หนักมากจึงได้แต่นั่งรออาการที่ห้องฉุกเฉินเพื่อรอเตียงที่ว่าง และยังมีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้มีเข้ามาในห้องรักษาก็ได้เสียชีวิตในห้องฉุกเฉิน เผชิญหน้ากับความเศร้าโศรกและทุกทรมาน นอกจากผู้ป่วยและญาติแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ต่างก็สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ได้ นายแพทย์เฉินฉางยวี่ก็ได้ฝากเตือนมายังประชาชนทุกคนให้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง นี่ก็คือการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดีที่สุดแล้ว