:::

หลิวหลิว ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวจีนยืนหยัดในเส้นทางของการเป็นนักเต้น มาสร้างฝันที่ไต้หวันจนเป็นจริง

คุณครูหลิวหลิว (กลาง) เฉินชิวหลิว (ขวา) และ หยางเฉียวหยู (ซ้าย) ถ่ายรูปร่วมกัน ภาพ/ดึงมาจากNational Education Radio
คุณครูหลิวหลิว (กลาง) เฉินชิวหลิว (ขวา) และ หยางเฉียวหยู (ซ้าย) ถ่ายรูปร่วมกัน ภาพ/ดึงมาจากNational Education Radio
เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่】ผู้แปลและเรียบเรียง/นงค์รักษ์ เหล่ากอคำ (李慧毓)

[เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่] ร่วมกับรายการ ‘สุขสันต์ภาคเหนือของไต้หวัน’ สถานีวิทยุเพื่อการศึกษาแห่งชาติไต้หวัน (National Education Radio) คอยรายงานเรื่องราวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน ในตอนนี้ ‘ความชอบมันกินได้ไหม’ (ออกอากาศทางสถานีวิทยุเพื่อการศึกษาแห่งชาติไต้หวัน เมื่อวันที่ 30 พ.ค.) ได้เรียนเชิญผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ คุณครูหลิวหลิว (柳柳老師) มาร่วมแบ่งปัน โดยมี เฉินชิวหลิว (陳秋柳) และ หยางเฉียวหยู (楊喬宇) เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

หลิวหลิว บอกเล่าเรื่องราวของตนเองว่า แม้ว่าคนที่บ้านจะต่อต้านไม่อยากให้เธอเดินในเส้นทางการเป็นนักแสดง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ หลังจากเดินทางมาอาศัยอยู่ที่ไต้หวัน ตนได้ฝึกฝนอย่างหนักจนสามารถเป็นครูนาฏศิลป์และครูสอนโยคะมืออาชีพ “การเป็นครูสอนโยคะเป็นงานที่ฉันชอบ และการแสดงคืองานอดิเรกของฉัน ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน”

[เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่] ยังได้นำเรื่องราวของทางรายการมาจัดทำเป็นบทความ 5 ภาษา ได้แก่ จีน อังกฤษ เวียดนาม ไทย และอินโดฯ เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังเข้าใจเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในต่างประเทศของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มากขึ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม: โครงการสร้างฝันของสะใภ้ไต้หวันหลินยวี่เมิ่ง ทำให้อิสราเอลได้มองเห็นไต้หวัน

คุณครูหลิวหลิว ภาพ/ดึงมาจากNational Education Radio

หลิวหลิว หรือชื่อจริงว่า เฉาซู่หลิว (曹素柳) เป็นคนกวางตุ้งประเทศจีน เธอแต่งงานย้ายมาอยู่ที่ไต้หวันได้ 15 ปีแล้ว ทุก ๆ วันยุ่งอยู่กับการสอนนาฏศิลป์และการแสดง ปัจจุบันเธอทำงานเป็นครูสอนการแสดงทั้งที่ศูนย์กีฬาหนันก่าง, ชั้นเรียนสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่จัดขึ้นโดยกองกิจการพลเรือน และศูนย์กิจกรรมชุมชนหลี่ นอกจากนี้เธอยังเป็นครูสอนโยคะอีกด้วย “ทุกวันเธอต้องวิ่งทำงานตามสถานที่ต่าง ๆ ใช้ชีวิตยุ่ง ๆ แบบนี้ก็คุ้มเหมือนกันนะ”

“เต้นรำมันกินได้ไหม” หลิวหลิวเล่าว่า บนเส้นทางความฝันของเธอมีอุปสรรคมากมายเหลือเกิน ครั้งหนึ่งพ่อเคยไม่มั่นใจในตัวเขา เธอเลยตัดสินใจลองทำตามคนในครอบครัวโดยทิ้งการเต้นรำ แต่ช่วงที่กลับไปอยู่ที่บ้านสองปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่หดหู่ที่สุดในชีวิต ฉันหาจุดยืนของตัวเองไม่เจอ

หลิวหลิวบอกว่า ไม่ว่าจะเรื่องการงาน เรื่องแต่งงาน หรือเรื่องความรักความชอบ พ่อของเธอต่อต้านทุกเรื่อง แม้กระทั้งเรื่องจะแต่งงานย้ายมาอยู่ที่ไต้หวัน พ่อบอกว่า “ถ้าเธอจะแต่งงานกับเขา เราพ่อลูกตัดขาดกัน” หลิวหลิวฟังแล้วรู้สึกเสียใจมาก แต่ก็กล้าที่จะทำเพื่อความรักสักครั้ง แต่ว่าหลังจากที่ย้ายมาอยู่ในไต้หวันแล้ว ก็ยังเจออุปสรรคไม่หยุดหย่อน ไม่เคยคิดเลยว่าทางบ้านของสามีจะไม่ค่อยชอบเวลาที่เธอ “ออกไปทำงานข้างนอก” หลายครั้งมองว่างานที่เธอทำไม่ค่อยเหมาะสม ยิ่งกว่านั้นยังมองว่าเธอไม่เหมาะกับลูกชายของตนเองด้วย

“แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ ฉันใช้การกระทำมาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง” หลิวหลิวยังคงพัฒนาทักษะการเต้นของเธอต่อไป เธอไม่เพียงแต่ครองแชมป์ในการแข่งขัน Malaysia Oriental Dance Championships 2016 แต่ยังสามารถติด 1 ใน 3 ของการแข่งขันเต้นรำที่ไต้หวันหลายต่อหลายครั้ง เอารางวัลเหล่านี้มาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ที่บ้านดู

พิธีกรรายการถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ตอนนี้คืนดีกลับคุณพ่อแล้วหรือยัง” พิธีกรอีกท่านรีบแย่งตอบขึ้นมาทันทีว่า “คืนดีกันแล้วสิ ลูกสาวขึ้นรับรางวัลบนทีวีขนาดนั้นแล้ว” หลิวหลิวหัวเราะเสียงดังพลางพูดว่า “ต้องขอบคุณสามีของฉัน เขาไม่ห้ามในสิ่งที่ฉันอยากจะทำ เลยทำให้ฉันมาถึงจุดนี้ได้”  พิธีกรอดที่จะบอกกับคุณพ่อของหลิวหลิวไม่ได้ว่า “คุณพ่อความชอบก็กินได้เหมือนกันนะคะ”

อ่านข่าวเพิ่มเติม: จากเด็กดื้อสู่นิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติ เหงียนทูหั่งทอดสะพานระหว่างไต้หวันและเวียดนามในการได้รู้จักกันอีกครั้ง

“หลังคลอดลูกคนที่ 1 ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันกำลังจะมาถึงจุดจบของการเต้นรำแล้ว” แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอยังคงไม่ลืมปณิธานเดิม จากนั้นได้เรียนเชิญพี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาเต้นรำที่ยิมชั้นล่างบ้านของตนเอง และได้ร่วมกันก่อตั้ง “กลุ่มคุณแม่แฮปปี้” ขึ้น ไม่นานคนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ สถานที่เริ่มไม่พอต่อการเต้น เขาเลยได้ไปยืมสถานที่จากทางรัฐในท้องที่ ต่อมากองกิจการพลเรือนเลยว่าจ้างให้เขาจัดชั้นสอนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ขึ้นเลย “ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความกล้านี้มาจากไหนเหมือนกัน” และนี่ก็ทำให้หลิวหลิวกลับสู่เส้นทางของการเป็นนักเต้นรำอีกครั้ง

พิธีกรพูดในตอนท้ายรายการว่า “อยากที่จะให้สังคมหรือคนในครอบครัวยอมรับและเห็นด้วยนั้น ต่างต้องใช้เวลาใช้แรงไปกระทำ ในระหว่างนั้นเราจะต้องมีความมั่นใจในตัวเอง เพราะว่าในโลกนี้มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักตัวเอง” หลิวหลิวพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “ในบางครั้งเราก็มีบ้างที่รู้สึกหวาดหวั่น รู้สึกกลัว เวลานั้นจะต้องถามตัวเอง ภายในใจของเราขาดอะไร แล้วก็ไปเติมตรงจุดนั้น”

สุดท้าย พิธีกรพูดพลางติดตลกว่า “ดังนั้นเมื่อร่างกายและจิตใจของคุณเหนื่อยล้า แล้วต้องการผ่อนคลายตัวเอง ก็ไปเรียนกับคุณครูหลิวหลิวได้” หลิวหลิวกล่าวว่า “มาเรียนครั้งแรกให้ฟรีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ”

ข่าวเด่นประเด็นร้อน

:::
回到頁首icon
Loading