ตามรายงานการวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ “ธรรมชาติ” (Nature) พบว่า 1 ใน 5 ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ อย่างไรก็ตามยังคงมีอาการทั่วไปที่ไม่รุนแรงให้เรารู้ เช่น มีไข้เล็กน้อย ไอ เจ็บปวด อาการคล้ายกับเป็นหวัด มีเพียงการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างทางสังคม และหลีกเลี่ยงสถานที่สาธารณะเท่านั้น ที่จะสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยอาการสำคัญ 10 อาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด/ภาพจาก Associated Press
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยอาการสำคัญ 10 อาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด ได้แก่ มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไอ คลื่นไส้ ปวดท้องหรือท้องร่วง คัดจมูก น้ำมูกไหล การได้กลิ่นและรสผิดปกติ ปวดหัวบ่อย และหายใจลำบาก อย่างไรก็ตามอาการทั้ง 10 นี้ มีอาการที่คล้ายกับการเป็นไข้หวัดหรือการเป็นหวัดธรรมดาทั่วไป จึงยากต่อการแยกแยะได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงได้เสนอข้อแตกต่างที่ชัดเจน 2 ประการ ดังนี้
ผู้เชี่ยวชาญเผย 2 ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด "ระหว่างโรคโควิดกับโรคไข้หวัด" /ภาพจาก Heho
- ระยะฟักตัวค่อนข้างนาน: ระยะฟักตัวของโรคโควิดค่อนข้างยาว โดยมีระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และอาจยืดยาวไปหลายสัปดาห์ บางทีอาจถึงหนึ่งหรือสองเดือน แต่ไข้หวัดใหญ่มีระยะฟักตัวสั้นประมาณ 1 ถึง 4 วัน และระยะของโรคสิ้นสุดภายใน 1 สัปดาห์
- อาการระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง: โรคโควิดจะมีอาการทางหลอดลม ระบบทางเดินหายใจ และปอด เช่น แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก เวลาไอจะปวดกระดูกหลังหน้าอก เวลาเดินจะหอบ เวลาพูดจะมีอาการหอบ และร่างกายร้อนอย่างผิดปรกติ หรือรู้สึกหนาวสั่นได้ง่ายเป็นพิเศษ
ผู้ป่วยอาการไม่หนักควรพักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมเสริมโภชนาการและดื่มน้ำเหมาะสม/ภาพจาก สื่อสังคมออนไลน์
หากท่านรู้สึกมีอาการต่างๆเหล่านี้ควรกักตัวที่บ้านทันที นอกจากจะพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ยังควรได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเหมาะสม ตราบใดที่ท่านได้รับประทานอาหารครบทั้ง 6 หมู่อย่างสมดุล พร้อมรับประทานอาหารที่มีโปรตีนมากขึ้น และพักผ่อนได้ตามปกติ ก็จะสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ ที่สำคัญต้องรับประทานอาหารและน้ำ รวมทั้งได้รับแคลอรีและโปรตีนที่เพียงพอ เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับไวรัสได้