ลูกของคุณมีน้ำมูกไหลไม่หยุดใช่ไหม? คุณอาจสับสนระหว่างอาการแพ้และไข้หวัด ในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล อาการของภูมิแพ้และไข้หวัดอาจคล้ายกัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีเชื้อโรคแพร่ระบาดอย่างมาก แล้วเราจะสามารถแยกแยะสองสิ่งนี้อย่างรวดเร็วได้อย่างไรและรักษาอย่างตรงจุดได้อย่างไร? นี่คือสามวิธีที่สามารถช่วยให้คุณแยกแยะได้ง่ายขึ้น
อาการภูมิแพ้และอาการหวัดมักจะคล้ายคลึงกัน ทำให้หลายคนสับสน นี่คือ 3 วิธีหลักที่สามารถใช้แยกแยะได้ง่าย (ภาพ: Heho Health)
คล้ายกันแต่แตกต่าง: อาการของภูมิแพ้และหวัดที่ซ้อนทับกัน
อาการของภูมิแพ้และไข้หวัด โดยเฉพาะอาการคัดจมูก ไอ และน้ำมูกไหล มักทำให้หลายคนสับสน ภูมิแพ้มักมาพร้อมกับโรคผิวหนังหรือหอบหืด ขณะที่ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส นี่คือสามวิธีหลักที่สามารถช่วยแยกแยะ:
- ระยะเวลาของโรค: ไข้หวัดสั้น ภูมิแพ้ยาวนาน
ไข้หวัดมักจะดีขึ้นภายในสามถึงห้าวันหลังจากติดเชื้อ และมีโอกาสหายภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่หากอาการของลูกน้อยเป็นมากกว่าหนึ่งสัปดาห์โดยไม่มีการดีขึ้น อาจเกิดจากภูมิแพ้ ภูมิแพ้ไม่มีระยะเวลาการเกิดเฉพาะ และอาการจะเกิดขึ้นตราบเท่าที่สารก่อภูมิแพ้ยังอยู่
- ช่วงเวลาของอาการ: ภูมิแพ้มีช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง
อาการไข้หวัดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ภูมิแพ้มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเฉพาะ เช่น ช่วงเช้าหรือช่วงเปลี่ยนฤดูกาล หากอาการของลูกน้อยเกิดขึ้นเมื่อมีสารก่อภูมิแพ้และหายไปเมื่อสารก่อภูมิแพ้หายไป นี่เป็นกุญแจสำคัญในการแยกแยะ
- มีไข้หรือไม่: ไข้หวัดมักมีไข้ ภูมิแพ้ไม่มี
หากลูกน้อยมีอาการไอ น้ำมูกไหล และมีไข้ มีความเป็นไปได้ว่าเป็นไข้หวัดหรือการติดเชื้อไวรัส ภูมิแพ้โดยทั่วไปจะไม่ทำให้เกิดไข้ หากมีไข้ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อยืนยันการติดเชื้อ
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ
แม้ว่าการแยกแยะเบื้องต้นนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองประเมินอาการของลูกได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยที่ผิดพลาด ในช่วงเปลี่ยนฤดูกาลที่เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย หากลูกน้อยมีอาการภูมิแพ้หรือไข้หวัด ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็วและป้องกันสุขภาพของลูกน้อยไม่ให้แย่ลง
