ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคติดต่อไต้หวันกล่าวเมื่อวานนี้ (9 ก.ย.) ว่า จากกรณีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายที่485 (เด็กอายุ 10 กว่าขวบ ที่เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อเยี่ยมญาติที่ไต้หวัน) เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ห้องปฎิบัติการของกรมควบคุมโรคไต้หวันได้ดำเนินการเพาะเชื้อไวรัสในตัวอย่างที่เก็บรวบรวมได้ในวันที่ 15 และ 16 ส.ค.ซึ่งมีผลออกมาไม่สามารถเพาะเชื้อได้ ซึ่งบ่งชี้ว่าไวรัสไม่สามารถติดต่อได้อีกต่อไปตราบเท่าที่กรณีนี้สิ้นสุดการกักกันภายในบ้านเป็นเวลา 14 วัน
ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคติดต่อไต้หวันชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายที่ 485 เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริการในวันที่ 5 ส.ค. เพื่อมาเยี่ยมญาติที่ไต้หวัน เมื่อเดินทางเข้ามาไต้หวันไม่มีอาการที่น่าสงสัย และในวันที่ 15 ส.ค. ได้รับการตรวจโควิดจากหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นก็ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 โดยผู้ป่วยรายนี้ได้รับการตรวจโควิดในวันที่ 15 ส.ค. 18 ส.ค. 20 ส.ค. และ 22 ส.ค. ซึ่งผลการตรวจมีผลเป็นลบในวันที่ 18 ส.ค. ส่วนวันที่เหลือมีผลเป็นบวก นอกจากนี้ผลการตรวจตั้งแต่วันที่ 23-25 ส.ค.ให้ผลเป็นลบทั้งหมด โดยผู้ป่วยได้ออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา
ห้องปฎิบัติการของกรมควบคุมโรคไต้หวันได้ดำเนินการเพาะเชื้อไวรัสในตัวอย่างที่เก็บรวบรวมได้ในวันที่ 15 และ 16 ส.ค. และผลการทดลองไม่สามารถเพาะเชื้อไวรัสได้ซึ่งบ่งชี้ว่าไวรัสในกรณีนี้จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีกต่อไป
ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคติดต่อไต้หวันกล่าวว่า กรณีนี้สามารถใช้เพื่อยืนยันอีกครั้งว่าแนวทางปฏิบัติในการกักกันโรคที่บ้านของไต้หวัน แม้ว่าจะมีการตรวจพบกรณีที่ไม่มีอาการจำนวนน้อยมาก แต่เมื่อผ่านการกักกันโรคไป 14 วัน กำลังของเชื้อที่จะสามารถแพร่เชื้อได้ลดลงอย่างมาก หรือแทบไม่ได้เลย และหลังจากหมดระยะเวลากักกันโรคแล้วก็จะต้องดำเนินการจัดการสุขภาพตนเองอีก 7 วัน เพื่อติดตามสถานะสุขภาพของตนเองอย่างใกล้ชิดจึงสามารถป้องกันความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ