โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือโรคผื่นอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังที่ทำให้รู้สึกคันและสร้างความรำคาญใจ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถประสบกับโรคนี้ได้เช่นกัน ปัจจุบันผู้ป่วยจำนวนมากเลือกใช้การรักษาแบบผสมผสานระหว่างแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตก โดยใช้ทั้งการรักษาจากภายในและภายนอก ซึ่งวิธีการรักษาแบบบูรณาการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
นายแพทย์ หลิน อินกู่ แพทย์ประจำแผนกแพทย์แผนจีนของโรงพยาบาลฉางเกิง เมืองจีหลง ได้กล่าวว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (หรือที่เรียกว่า ผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบบ่อยในผู้ป่วยนอก อาการของโรคประกอบด้วย ผิวแห้ง คัน ผื่นแดง และหากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจเกาจนผิวหนังแตกได้ การรักษาในแพทย์แผนตะวันตกส่วนใหญ่พึ่งพายาสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าจะได้ผลรวดเร็ว แต่ผู้ป่วยบางรายกังวลเรื่องผลข้างเคียงจากการใช้ยาในระยะยาว จึงหันมารับการรักษาโดยการปรับสมดุลร่างกายด้วยการแพทย์แผนจีนเพื่อลดการพึ่งพายาแผนตะวันตก
นายแพทย์หลินยังกล่าวอีกว่า ตามทัศนะของแพทย์แผนจีน โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมีสาเหตุการเกิดที่เกี่ยวข้องกับสภาพร่างกาย ปัจจัยสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย โรคนี้มักเริ่มเกิดขึ้นในวัยเด็ก โดยทั่วไปมักพบในผู้ป่วยที่มีประวัติภูมิแพ้ทางพันธุกรรม เช่น โรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ หรือโรคหืด แม้ว่าอาการจะค่อยๆ บรรเทาลงตามอายุ แต่ในความเป็นจริงพบว่าผู้ใหญ่จำนวนมากยังคงประสบปัญหาการเกิดโรคซ้ำอยู่
สาเหตุของโรคมีหลายประการ สิ่งกระตุ้นมีอยู่รอบตัว
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมีหลายประการ ไม่เพียงแต่เกิดจากพันธุกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสภาพอากาศ การมีเหงื่อสะสม สภาพแวดล้อมที่แห้งเกินไป การทำความสะอาดผิวมากเกินไป การสัมผัสสารระคายเคือง มลภาวะทางอากาศ และความเครียด ผู้ป่วยต้องระมัดระวังสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมถึงอาหารและความเครียดทางอารมณ์ที่อาจส่งผลต่อโรคได้ อาหารที่มักทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น อาหารทะเล ไข่ หรืออาหารแปรรูป มักทำให้อาการแย่ลง
วิธีการรักษาของแพทย์แผนจีนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยพิจารณาจากอายุ อาการ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยที่มีผิวแห้งมาก แพทย์จะจ่ายยาสมุนไพรจีนที่ช่วยบำรุงหยินและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีอาการบวมแดงหรือมีน้ำเหลืองซึมออกจากผิวหนัง แพทย์จะจ่ายยาที่มีฤทธิ์ในการขับความร้อนและขับพิษ รวมถึงใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ เช่น หวงเหลียน (สมุนไพรชนิดหนึ่ง) และหญ้าปลาไหล เป็นต้น โดยยาสมุนไพรจีนเหล่านี้สามารถใช้ได้ทั้งการรับประทานและการใช้ภายนอก
การรักษาแบบผสมผสาน ให้การดูแลแบบครบวงจร
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง นายแพทย์หลินแนะนำให้เริ่มการรักษาด้วยยาแผนตะวันตกก่อน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยเสริมการรักษาด้วยยาสมุนไพรจีนเพื่อลดผลข้างเคียงจากยาแผนตะวันตก นอกจากนี้ สำหรับผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีความเครียดทางอารมณ์สูง แพทย์แผนจีนจะใช้ยาสมุนไพรจีนที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น หวงฉี เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
การรักษาแบบแพทย์แผนจีนจะเน้นการบำบัดแบบองค์รวม โดยการวินิจฉัยสภาพร่างกาย สภาพแวดล้อม และประวัติการรักษาของผู้ป่วย เพื่อสร้างแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน การรักษาแบบนี้ไม่เพียงช่วยควบคุมการอักเสบของผิวหนัง แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกข์กับการเกิดซ้ำของโรคผิวหนังอักเสบ
การมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีช่วยลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำ
สุดท้าย นายแพทย์หลินได้เตือนว่า การมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการหลีกเลี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผู้ป่วยควรรักษาผิวให้แห้ง เลือกใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบาย หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดผิวมากเกินไปและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารระคายเคือง นอกจากนี้ การรักษาอารมณ์ให้ดีและลดความเครียดก็จะช่วยควบคุมการเกิดซ้ำของโรคได้เช่นกันผู้ป่วยควรรักษาผิวให้แห้ง เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบาย หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดผิวมากเกินไปและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง (ภาพจาก Pexels)