หลี่ เสี่ยวตี้ (李小弟) เด็กวัย 14 ปี สวมใส่แว่นสายตาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และมีสายตาสั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ในระยะเวลาไม่กี่ปี โดยในปีนี้ เสี่ยวตี้มีอาการตาพร่ามัวและจอประสาทตาลอก ทำให้คุณพ่อของเสี่ยวตี้รู้ตกตกใจในความเข้าใจผิดในอดีตที่สามารถทำร้ายเด็กได้
โดย 2 ใน 10 คน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในไต้หวัน จะมีอาการสายตาสั้น และ 9 ใน 10 คน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในไต้หวัน จะมีอาการสายตาสั้น จากผลการสำรวจการเฝ้าระวังสายตาเด็กและวัยรุ่นปี 2017 ของสำนักงานบริหารและส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันเผยว่า ผู้ที่มีสายตาสั้นในโรงเรียนอนุบาลมีอัตราส่วน 9% ส่วนชั้นประถมศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 19.8% และชั้นมัธยมศึกษาอยู่ที่ 38.7%
สำนักงานบริหารและส่งเสริมสุขภาพเตือนว่า ยิ่งสายตาสั้นในช่วงอายุน้อยเท่าไหร่ ดีกรีสายตาสั้นก็จะเพิ่มเร็วขึ้น ซึ่งเพิ่มเฉลี่ยต่อปีประมาณ 75-100 ถ้าหากไม่มีการควบคุม ก็อาจจะมีดีกรีสายตาสั้นที่สูงได้ (มากกว่า 500) ซึ่งผู้ที่มีดีกรีสายตาสั้นที่สูงก็อาจเกิดโรคต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาลอก และจอประสาทตาเสื่อมก่อนกำหนด และกว่า 10% สามารถนำไปสู่การตาบอดได้
ผู้ปกครองส่วนมากเชื่อว่า การดูทีวีเป็นสาเหตุหลักของอาการสายตาสั้น แล้วทำไมต้องคิดแต่ว่าทีวีเป็นสาเหตุล่ะ? จริงๆ แล้วการใช้สายตาในระยะใกล้และเป็นเวลานานเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการสายตาสั้น ซึ่งกิจกรรมภายนอกอาคารสามารถป้องกันอาการสายตาสั้นได้
ดังนั้น ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงให้เด็กๆ ใช้สายตาอ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ เล่นเกม (รวมทั้งแท๊บเล็ต) เป็นเวลานานเกิดไป และต้องปฎิบัติตามมาตรการ ใช้สายตา 30 นาที พัก 10 นาทีด้วย
จัง อวี้อิง (長王英) ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและส่งเสริมสุขภาพกล่าวเสริมว่า ผู้ปกครองหลายคนยังเข้าใจผิดว่า การใช้สายตาในระยะใกล้มีเพียงการอ่านหนังสือ และทำการบ้านเท่านั้น จริงๆ แล้ว การวาดภาพ เล่นของเล่น การต่อเลโก้ก็เป็นการใช้สายตาในระยะใกล้เช่นกัน ซึ่งกิจกรรมที่ใช้สายตาในระยะใกล้สามารถแทนที่ด้วยการทำกิจกรรมกลางแจ้ง