รอยช้ำบนผิวหนังมักเกิดจากการกระแทกหรือแรงกดทับที่ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังแตก อย่างไรก็ตาม หากมีรอยช้ำปรากฏขึ้นบนผิวโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด และควรให้ความสนใจ
โรคแรกคือ ภาวะจุดเลือดออก (Purpura) ซึ่งเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองที่ทำให้ผิวหนังมีจุดสีแดงหรือม่วง ซึ่งไม่เปลี่ยนสีเมื่อกดและอาจเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับเกล็ดเลือดหรือหลอดเลือด ประการที่สอง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Leukemia) สามารถทำให้เกิดรอยช้ำโดยไม่มีสาเหตุ เพราะเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเติบโตผิดปกติ ส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดออกหรือโลหิตจาง ประการที่สาม โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) เป็นโรคพันธุกรรมที่มีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเลือดออกใต้ผิวหนังได้ง่าย
รอยช้ำบนผิวหนังมักเกิดจากหลอดเลือดใต้ผิวหนังแตกจากการกระแทกหรือแรงกดทับ (ภาพ/Heho สุขภาพ)
นอกจากนี้ ภาวะตับทำงานผิดปกติอาจทำให้เกิดรอยช้ำ เนื่องจากตับไม่สามารถสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้เพียงพอ ทำให้การแข็งตัวของเลือดช้าลง ผู้ป่วยที่มีภาวะไตเสื่อมสมรรถภาพหรือโรคไตวายก็สามารถเกิดรอยช้ำได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดมากเกินไปหรือเส้นเลือดที่บอบบางเพิ่มขึ้น สุดท้ายผู้ป่วยโรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus) มักจะมีรอยช้ำเพราะการทำงานของภูมิคุ้มกันที่แย่ ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
เมื่อมีรอยช้ำปรากฏบนผิวโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด (ภาพ/Heho สุขภาพ)
โดยสรุป การเกิดรอยช้ำโดยไม่มีสาเหตุอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค
