img
:::

'Demand & Supply' ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย

จุดประสงค์หลักของการจัดหาก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยคือการเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้า
จุดประสงค์หลักของการจัดหาก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยคือการเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้า

ข้อมูล "Demand & Supply" ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย

ก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ การจ้างงาน และความมั่นคงทางพลังงาน โดยประเทศไทยโชคดีที่มีก๊าซธรรมชาติชนิด "ก๊าซเปียก" (Wet Gas) ซึ่งประกอบด้วยมีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน และเพนเทน โดยมีเทนจะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และยานยนต์ ขณะที่ส่วนประกอบอื่น เช่น โพรเพนและบิวเทน จะถูกนำไปผลิตเป็นก๊าซหุงต้ม (LPG) หรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างการจ้างงาน

แหล่งจัดหาก๊าซธรรมชาติ

ในช่วงปี 2529-2566 การจัดหาก๊าซธรรมชาติในประเทศมาจาก:

  • 73.7% จากแหล่งในอ่าวไทย
  • 4.1% จากแหล่งบนบก
  • 16.2% จากแหล่งก๊าซในพม่า
  • 6% จากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)

อย่างไรก็ตาม ในอนาคต การนำเข้า LNG คาดว่าจะกลายเป็นแหล่ง supply หลัก โดยจะมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ supply ทั้งหมดภายในปี 2578 เนื่องจากการลดลงของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและพม่าถ่านหิน ถือเป็นเชื้อเพลิงที่ราคาถูก แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม

ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ

ตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan 2018) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในปี 2580 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.7% ต่อปี โดยเพิ่มจาก 4,676 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2561 เป็น 5,348 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในภาคการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม ขณะที่การใช้ในโรงแยกก๊าซและภาคขนส่งมีแนวโน้มลดลง

แนวทางการจัดการพลังงาน

เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้อง:

  • ทำสัญญาซื้อขาย LNG ล่วงหน้า
  • สำรวจและพัฒนาแหล่งก๊าซใหม่
  • ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า

การจัดการดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

ข่าวเด่นประเด็นร้อน

:::
ข่าวล่าสุด 最新消息icon
回到頁首icon
Loading