เมื่อผู้หญิงต้องผ่านการคลอดบุตร, วัยหมดประจำเดือน หรือได้รับผลกระทบจากโรคต่าง ๆ เช่น โรครังไข่หรือเต้านม ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพและหดตัว อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ช่องคลอดแห้ง, อาการคัน, การติดเชื้อในช่องคลอดซ้ำ ๆ, ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ และเนื่องจากความตึงของช่องคลอดลดลง ความสามารถในการพยุงกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะก็ลดลงเช่นกัน ทำให้เกิดการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ, หัวเราะ, จาม หรือออกกำลังกายได้ง่าย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะของโรงพยาบาลอันหนาน นพ. สวี่ หลิง-เน่ย แนะนำว่าผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือช่องคลอดบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล รวมถึงผู้หญิงวัยรุ่นที่มีภาวะปัสสาวะเล็ดหลังคลอด, ช่องคลอดแห้งจากวัยหมดประจำเดือน, ช่องคลอดอักเสบเนื่องจากการหดตัว หรือผู้ป่วยที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในระดับเล็กน้อย สามารถพิจารณารับการรักษาด้วย “เลเซอร์ช่องคลอด” เลเซอร์ช่องคลอดช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ผ่านแสงความร้อน เสริมสร้างระบบพยุงอุ้งเชิงกรานและช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดและช่องคลอดหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพการออกกำลังกายแบบ Kegel ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (ภาพจาก Heho Health)
จากการวิจัยพบว่า การรักษาด้วยเลเซอร์ช่องคลอดสามารถปรับปรุงสุขภาพในจุดซ่อนเร้นได้อย่างมีนัยสำคัญ จากเอกสารทางการแพทย์ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบว่ากว่า 70% ของผู้ป่วยไม่มีอาการแฉะหรือระคายเคืองหลังการรักษา 120 วัน และ 95% ของผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตทางเพศดีขึ้นอย่างมาก หลังจากการรักษาด้วยเลเซอร์ ช่องคลอดมีความหนาและการกระจายของหลอดเลือดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วยเสริมความกระชับและความชุ่มชื้นของช่องคลอด
นพ. สวี่กล่าวว่า แม้ว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ช่องคลอดจะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่ใช่ทางออกที่ถาวร แนะนำให้ผู้ป่วยรับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์ที่ดี โดยแต่ละครั้งใช้เวลา 15-20 นาที เดือนละครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้หญิงควรใส่ใจสุขภาพจุดซ่อนเร้นของตนเองและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมแต่เนิ่น ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต