เมื่อไม่นานมานี้มีผู้ฝึกสอนการออกกำลังกายชื่อดังคนหนึ่งถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดความโกลาหลเป็นอย่างมาก นายเจิ้ง เจี้ยนซิ่ง (鄭建興) ประธานสมาคมโรคหลอดเลือดไต้หวันกล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 10 อันดับแรกของชาวไต้หวันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและความพิการของผู้ใหญ่ โดยระยะเวลาในการส่งตัวผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้มากที่สุด
จากสถิติพบว่าในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 30,000 คน เกือบหนึ่งในสามของผู้ป่วยเสียชีวิตและมากกว่าครึ่งหนึ่งต้องกลายเป็นผู้พิการ เป็นสาเหตุหลักของความพิการของผู้ใหญ่ในไต้หวัน และโดยเฉลี่ยในไต้หวันจะมีหนึ่งคนเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองในทุก ๆ 47 นาที
นายเจิ้ง เจี้ยนซิ่ง ประธานสมาคมโรคหลอดเลือดไต้หวันกล่าวอีกว่า โรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้ใหญ่อายุ 60-70 ปี แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของอาหารและการใช้ชีวิตทำให้ผู้ป่วยเกือบ 20% กลายเป็นผู้ป่วยที่มีอายุน้อย
โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ หลอดเลือดสมองอุดตัน หรือหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งกรณีแรกทำให้เกิดการอุดตันทำให้หลอดเลือดตีบแคบ มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง และทำให้เกิดการขาดออกซิเจนอย่างฉับพลัน และกรณีที่ 2 ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง ซึ่ง 75% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะมีหลอดเลือดสมองอุดตัน
สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดสมองคือการให้ยาละลายลิ่มเลือดในกรณีที่หลอดเลือดสมองอุดตันและการควบคุมปริมาณเลือดที่ออกด้วยการรักษาระดับความดันโลหิตในกรณีที่หลอดเลือดสมองแตก ตามคำแนะนำของแนวทางการรักษาของนานาชาติคือ ควรได้รับการรักษาให้ยาละลายลิ่มเลือดภายใน 4.5 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการ ซึ่งจะมีอัตราการฟื้นตัวเป็นปกติของผู้ป่วยสูงถึง 40% อย่างไรก็ตามเวลาเฉลี่ยสำหรับการส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาลในไต้หวันนั้นสูงกว่ามาตรฐานหนึ่งเท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ใช้เวลานานถึง 34 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้ สมาคมโรคหลอดเลือดไต้หวันได้ร่วมมือกับรัฐบาลมณฑลและเมืองในการส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองในท้องถิ่น และพัฒนาตัวชี้วัดสำหรับการประเมินการส่งตัวผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเข้ารับการรักษาพยาบาล และคาดว่าในปี 2020 ระยะเวลาในการส่งตัวผู้ป่วยเพื่อให้ยาละลายลิ่มเลือดจะเร็วกว่ามาตรฐานสากล 7% เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและความพิการ