กระทรวงสาธารณสุขของไทยเผยเผย ประชาชนให้ความร่วมมือลดการแพร่เชื้อโควิด-19 เป็นอย่างดี แต่ขอปฏิบัติเพิ่มขึ้น เพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เกี่ยวกับความคืบหน้าด้านสาธารณสุขว่า จากสถิติในช่วงที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 7-28 มี.ค. ที่ผ่านมา พบว่า พฤติกรรมคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อและพบว่าประชาชนหลีกเลี่ยงการไปที่แออัด และรักษาระยะห่างต่อกัน 2 เมตร ซึ่งเชื่อว่าหากปฏิบัติต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น เชื้อก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนการจัดสรรยาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ ที่ใช้ในการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 ภาครัฐได้จัดสรรให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วประเทศแล้ว โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยที่มีการขอรับการจัดสรร จำนวน 1.3 ล้านชิ้น/วัน เพื่อรองรับกรณีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้พบว่าโรงพยาบาลต่างๆ ยังขาดแคลนหน้ากากอนามัย N95 เนื่องจากปกติสั่งซื้อจากบริษัท 3M ที่ต้องนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา แต่ต้นทางส่งมาให้ได้น้อยลง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ประสานทางการจีนเพื่อขอรับการสนับสนุนแบบ G2G โดยใช้งบประมาณ1,500 ล้านบาทต่อการจัดซื้อ และสามารถนำเข้าไทยมาได้ 4 แสนชิ้น ซึ่งจะกระจายไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศต่อไป โดยเบื้องต้นเจาะจงให้ใช้สำหรับกรณีเคสผู้ป่วยโควิด-19 ก่อน เพราะมีความจำเป็นต้องใช้จำนวนมาก โดยคำนวณว่าผู้ป่วย 1 คน ต้องใช้หน้ากาก N95 จำนวน 15 ชิ้น ซึ่งหากมีผู้ป่วย 10,000 คน อาจต้องใช้ถึง 5 แสนชิ้น หรือประมาณ 17,000 ชิ้น/วัน แต่ทั้งนี้จะแบ่งบางส่วนให้กับการแพทย์ที่รักษา โรคอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ด้วย

ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ ไทยนำเข้ามาจำนวน 24,000 ชิ้น ขณะนี้เหลือ 21,000 ชิ้น ซึ่งจะกระจายไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศต่อไป โดยให้พิจารณาการใช้ยาตามความเหมาะสม พร้อมเชื่อว่าสภาพการขาดยาจะไม่เกิดขึ้นในไทย

ข้อมูลข่าวจาก กรมประชาสัมพันธ์