ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 13 เม.ย. 64
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เดินทางไปร่วม “พิธีติดป้ายชื่อและปล่อยเรืออู่ลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบกลำใหม่ของกองทัพเรือลงน้ำ” ที่นครเกาสง โดยได้เปิดเผยว่า การตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า “เรือรบอวี้ซาน” เพื่อเป็นการสืบทอดและเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณของกองทัพสาธารณรัฐจีน ที่ไม่เคยหวาดกลัวต่อความท้าทายหรือย่อท้อต่ออุปสรรคนานัปการ โดยเรือรบอวี้ซานเป็นเรืออู่ลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก (Amphibious transport dock หรือนิยมเรียกว่าเรือ LPD ซึ่งย่อมาจาก landing platform/dock) ลำแรกของกองทัพเรือที่มีขนาดระวางขับน้ำ 10,000 เมตริกตัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ และเพิ่มแสนยานุภาพด้านการป้องกันประเทศให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ประธานาธิบดียังได้แสดงความคาดหวังว่า การผลิตเรือรบในประเทศจะมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
โดยคำปราศรัยของประธานาธิบดีมีสาระสำคัญดังนี้
ข้าพเจ้าเพิ่งจะเดินทางมาเข้าร่วมพิธีเปิดโครงการสร้างเรือดำน้ำภายในประเทศเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วนี่เอง จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในวันนี้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีติดป้ายชื่อและปล่อยเรืออู่ลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบกลำใหม่ที่มีชื่อว่า “เรือรบอวี้ซาน” ลงสู่ผืนน้ำ
อันดับแรก ข้าพเจ้าขอขอบคุณบริษัท CSBC Corporation, Taiwan สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซุนยัดเซ็น (NCSIST) และกองทัพเรือ ที่ได้มุ่งมั่นและทุ่มเทความพยายามจนทำให้การสร้างเรือในประเทศมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อาทิ เรืออู่ลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบกลำใหม่ที่ปรากฏโฉมในวันนี้ นอกจากจะเป็นเรือ LPD ที่มีขนาดระวางขับน้ำ 10,000 เมตริกตันลำแรกของกองทัพเรือไต้หวันแล้ว ยังเป็นการออกแบบและสร้างขึ้นตามความต้องการในด้านการซ้อมรบ อีกทั้งยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งหลักชัยสำคัญแห่งการผลิตเรือรบในประเทศ เชื่อมั่นว่าหลังจากเรือรบลำนี้เข้าประจำการแล้ว จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ และเพิ่มแสนยานุภาพด้านการป้องกันประเทศให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยตามประวัติของกองทัพเรือไต้หวัน ระบุว่า ในอดีตเคยมีเรือรบที่ชื่อว่า “อวี้ซาน”มาแล้ว แต่การตั้งชื่อเรือ LPD ลำใหม่ว่า เรือรบอวี้ซาน อีกครั้ง ในวันนี้ นอกจากเป็นแสดงให้เห็นถึงการสืบทอดและเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณของกองทัพสาธารณรัฐจีน ที่ไม่เคยหวาดกลัวต่อความท้าทายหรือย่อท้อถอยต่ออุปสรรคนานัปการ
พลังแห่งความปรารถนาในอันที่จะปกป้องประเทศนี้ ต้องการความร่วมแรงร่วมใจกันของกองทัพและประชาชน และต้องมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า หากทุกคนมีความสามัคคีกัน ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากใดๆ เราก็จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ในที่สุด