ทุกช่วงของการตั้งครรภ์มีความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อคุณแม่เริ่มรู้สึกเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายเตือนว่า—คุณต้องการสารอาหารเพิ่มเติม! สำนักงานส่งเสริมสุขภาพ (HPA) เตือนว่า ภาวะโลหิตจางในช่วงตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและมักถูกละเลยจากคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคน ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่ แต่ยังอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อพัฒนาการของทารกได้อีกด้วย
นอกจากทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกเวียนศีรษะและอ่อนเพลียแล้ว ภาวะโลหิตจางยังอาจทำให้ออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอต่อทารกในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหนักแรกเกิดต่ำ คลอดก่อนกำหนด หรือพัฒนาการล่าช้าได้หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที จากการสำรวจพบว่า 17.6% ของหญิงตั้งครรภ์ในไต้หวันที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 24 ถึง 28 สัปดาห์มีภาวะโลหิตจาง ดังนั้นการป้องกันแต่เนิ่น ๆ และเสริมสารอาหารจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
HPA เน้นย้ำว่าภาวะโลหิตจางในช่วงตั้งครรภ์เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษและโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โชคดีที่ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้อย่างมากผ่านการเสริมสารอาหารที่สำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามิน B12 และโปรตีน ซึ่งมีความสำคัญในการปกป้องสุขภาพของคุณแม่และทารกสำนักงานส่งเสริมสุขภาพ (HPA) เตือนว่าภาวะโลหิตจางในช่วงตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรใช้บริการตรวจครรภ์ฟรีของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และใส่ใจในการเสริมสารอาหารที่สำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามิน B12 และโปรตีน (ภาพจากสำนักงานส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ)
กรดโฟลิก: ผักใบเขียวช่วยพัฒนาการของทารก
ความต้องการกรดโฟลิกในช่วงตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับกรดโฟลิก 600 ไมโครกรัมต่อวัน เพื่อช่วยพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม ผักโขมแดง และผักบุ้ง ล้วนเป็นแหล่งที่ดีของกรดโฟลิก ถั่วและฝรั่งก็มีกรดโฟลิกสูงเช่นกัน หากคุณกำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรเริ่มเสริมกรดโฟลิกตั้งแต่ 3 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางและส่งเสริมพัฒนาการที่สมบูรณ์ของทารก
ธาตุเหล็ก: ตับและอาหารทะเลช่วยสร้างเลือด
ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่สำคัญในการป้องกันภาวะโลหิตจางในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับธาตุเหล็ก 15 มิลลิกรัมต่อวัน และเพิ่มเป็น 45 มิลลิกรัมในช่วงไตรมาสที่สาม อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ตับหมู หอยลาย ปลาหมึก และเนื้อแดง การรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม และมะเขือเทศเชอร์รี่ หลังมื้ออาหาร จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
วิตามิน B12: ปกป้องระบบประสาทของทารก
วิตามิน B12 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของระบบประสาทของทารกในครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามิน B12 2.6 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถได้รับจากการบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม หรือสาหร่ายทะเล เพื่อให้แน่ใจว่าทารกในครรภ์ได้รับการพัฒนาที่สมบูรณ์
โปรตีน: ถั่ว ปลา ไข่ เนื้อสัตว์ ช่วยสร้างเม็ดเลือด
โปรตีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเพิ่มโปรตีนในอาหารประจำวันอีก 10 กรัม แหล่งโปรตีนคุณภาพสูง ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแระญี่ปุ่น รวมถึงปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ การบริโภคโปรตีนที่เพียงพอจะช่วยให้คุณแม่และทารกมีสุขภาพที่ดี
เพื่อปกป้องสุขภาพของคุณแม่และทารก ควรรักษาสมดุลทางโภชนาการ ตรวจสุขภาพครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และเสริมสารอาหารที่จำเป็น เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างปลอดภัยและราบรื่น