img
:::
ประกันภัยและการรักษาสุขภาพ

WHO ระบุว่า แอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นสาร 'ก่อมะเร็งในมนุษย์'

WHO ระบุว่า แอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นสาร 'ก่อมะเร็งในมนุษย์' ภาพ/นำมาจาก freepik
WHO ระบุว่า แอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นสาร 'ก่อมะเร็งในมนุษย์' ภาพ/นำมาจาก freepik

องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ได้จัดให้แอสปาร์แตม ซึ่งเป็นสารให้ความหวานเทียมที่ใช้กันทั่วไปในน้ำอัดลม อยู่ในประเภทสารที่ “อาจก่อมะเร็งในมนุษย์” แม้ว่าระดับการบริโภคต่อวันที่ยอมรับได้จะไม่เปลี่ยนแปลง องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ของ WHO ได้ดำเนินการประเมินสารก่อมะเร็งของแอสปาร์แตมเป็นครั้งแรกในการประชุมที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 6-13 มิถุนายน และกล่าวว่า “คณะทำงานจัดว่าสารให้ความหวานเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์”

อ่านข่าวเพิ่มเติม : การทำงานกลางแจ้งในช่วงฤดูร้อนเสี่ยงอันตราย กระทรวงแรงงานสุ่มบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง

WHO ระบุว่า แอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นสาร 'ก่อมะเร็งในมนุษย์' ภาพ/นำมาจาก食藥署

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมด้านวัตถุเจือปนอาหาร (JECFA) ซึ่งก่อตั้งโดย WHO และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ร่วมประชุมกันที่นครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน ถึง 6 กรกฎาคม เพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับแอสปาร์แตม

ผลการหารือสรุปได้ว่า ข้อมูลที่ประเมินได้ระบุว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงปริมาณแอสปาร์แตมที่ยอมรับได้ต่อวัน (ADI) ซึ่งเผยแพร่ในปี 2524 ว่าควรอยู่ที่ 0 ถึง 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล 1 กระป๋อง มักมีสารให้ความหวานแอสปาร์แตม 200 หรือ 300 มก. ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กก. จึงจำเป็นต้องบริโภคมากกว่า 9 ถึง 14 กระป๋องต่อวันเพื่อให้เกินค่า ADI หากไม่มีการบริโภคแอสปาร์แตมเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานเคมีสังเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา พบในเครื่องดื่มลดน้ำหนัก หมากฝรั่ง เจลาติน ไอศกรีม ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต อาหารเช้าซีเรียล ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ และวิตามินแบบเคี้ยว

อ่านข่าวเพิ่มเติม : ชุดการบรรยายเรื่อง “ระยะห่างระหว่างชาวไต้หวันกับชาวต่างชาติ” ทำความรู้จักผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากมุมต่างๆ

สมาคมสารให้ความหวานระหว่างประเทศกล่าวว่า การจำแนกกลุ่ม 2B ทำให้สารให้ความหวานอยู่ในประเภทเดียวกับกิมจิและผักดองอื่นๆย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม WHO กล่าวว่า สารให้ความหวานเทียมที่ใช้แทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์หลายประเภท ไม่ช่วยในการลดน้ำหนักและอาจส่งผลต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ขณะที่หน่วยงานด้านสุขภาพของสหประชาชาติ ออกแนวทางแนะนำไม่ให้ใช้สารให้ความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล

มาเป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็น

ข่าวเด่นประเด็นร้อน

ข่าวล่าสุด 最新消息icon
回到頁首icon
Loading