您的瀏覽器不支援JAVASCRIPT功能,若網頁功能無法正常使用時,請開啟瀏覽器JAVASCRIPT狀態
การแข่งขัน World Masters Games เริ่มต้นแล้ว! นครนิวไทเปเปิดตัวทัวร์วัฒนธรรม 75 รายการ; เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรีในวันพิพิธภัณฑ์ 18 พฤษภาคม
คู่มือแต่งตาสำหรับมือใหม่: เคล็ดลับเนรมิตดวงตาให้สวยน่าหลงใหล
ระวัง「กลิ่นคนแก่」หลังอายุ 40! ปรับกลิ่นตัวให้ดีขึ้นได้ด้วยอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ดื่มชานมเค็ม เล่นทำนายด้วยกระดูกแกะ! สัมผัสวัฒนธรรมชาแห่งราชสำนักโบราณที่พิพิธภัณฑ์ชา
《語言教學》當代中文課程:第十一課-水果真好吃【20210515】
綠茶與抹茶都來自同一種茶樹,但它們之間最大的差異在於種植方式、加工過程及營養價值。常見的綠茶為乾燥茶葉狀,經過沖泡、烘乾後以熱水沖泡飲用;而抹茶則是以嫩葉研磨成的細粉,直接與水混合飲用,因此能保留茶葉中的所有營養成分。ชาเขียวและมัทฉะมีต้นกำเนิดจากต้นชาเดียวกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่กระบวนการเพาะปลูก การแปรรูป และคุณค่าทางโภชนาการ ชาเขียวมักมาในรูปแบบใบชาแห้ง ที่ผ่านการนึ่ง อบแห้ง และชงด้วยน้ำร้อน ในขณะที่มัทฉะเป็นผงชาที่บดละเอียดจากยอดอ่อนของใบชา และชงดื่มโดยตรงกับน้ำ ทำให้คงคุณค่าทางสารอาหารจากใบชาไว้ได้ทั้งหมด抹茶在採收前的 2–3 週會以遮蔭方式種植,這有助於提升茶葉中的 L-茶胺酸與葉綠素含量。這個過程不僅讓茶葉顏色更深,還能提升飲用時的甘甜與清爽口感。相較之下,綠茶通常完全曝曬於陽光下,因此帶有淡淡的苦澀與草本香氣。มัทฉะปลูกโดยใช้วิธีการคลุมร่มเงาให้กับต้นชาเป็นเวลา 2–3 สัปดาห์ก่อนเก็บเกี่ยว ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณ L-theanine และคลอโรฟิลล์ วิธีนี้ไม่เพียงทำให้ใบชามีสีเข้มขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความหวานและรสชาติที่นุ่มละมุนเมื่อดื่ม ในขณะที่ชาเขียวมักปลูกโดยให้ได้รับแสงแดดเต็มที่ ทำให้มีรสฝาดเล็กน้อยและกลิ่นหอมแบบหญ้าอ่อน兩者都富含抗氧化物,如 EGCG、維生素 A、C、E 以及多種必需礦物質。然而,抹茶因為是整杯飲用研磨成粉的茶葉,因此營養含量更高;而綠茶則僅飲用萃取出的茶湯,營養吸收相對較少。ทั้งสองชนิดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น EGCG วิตามิน A, C, E และแร่ธาตุที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม มัทฉะมีสารอาหารในปริมาณที่สูงกว่าเนื่องจากดื่มทั้งผงชา ในขณะที่ชาเขียวดื่มเฉพาะน้ำที่สกัดออกมา綠茶,又稱為煎茶,起源於中國。 ชาเขียว หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเซนฉะ มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน在使用方式上,綠茶適合沖泡成熱飲或冷飲;而抹茶則可用於飲品、糕點、冰淇淋,或與牛奶搭配混合飲用,使口感更順口。ในด้านการใช้งาน ชาเขียวเหมาะสำหรับชงดื่มร้อนหรือเย็น ในขณะที่มัทฉะสามารถนำไปใช้ในเครื่องดื่ม เบเกอรี่ ไอศกรีม หรือผสมกับนมเพื่อให้ดื่มง่ายยิ่งขึ้น由於製程較為複雜且營養價值出色,抹茶的價格通常高於綠茶。然而,每一種茶都有其獨特的品飲體驗,依照消費者的需求與口味偏好而有所不同。ด้วยกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น มัทฉะจึงมีราคาสูงกว่าชาเขียว อย่างไรก็ตาม ชาแต่ละชนิดก็ให้ประสบการณ์ในการดื่มชาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และรสชาติที่ผู้บริโภคต้องการ
อัตลักษณ์มักไม่ใช่หัวข้อที่ถูกพูดถึงในชีวิตประจำวัน แต่สามารถปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งของเส้นทางชีวิตของแต่ละคนบางครั้งเรามองคำถามว่า "ฉันคือใคร" ราวกับเป็นคำถามแบบตัวเลือกที่มีคำตอบเดียวที่ถูกต้อง และรู้สึกกังวลในการค้นหาคำตอบนั้น แต่การสำรวจอัตลักษณ์เปรียบได้กับการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน เป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่เคลื่อนไหวตามจังหวะชีวิต และอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อเราเชื่อมโยงกับเรื่องราวของผู้อื่น อัตลักษณ์จึงไม่ใช่ป้ายชื่อที่นิ่งสนิท แต่คือจุดที่เราเลือกวางเรื่องราวชีวิตของตัวเองในปัจจุบันการย้ายถิ่นขึ้นเหนือ จุดประกายความเข้าใจร่วมเรื่องอัตลักษณ์สิบปีก่อน ฉันเพิ่งมาศึกษาที่ไทเป ฝนตกพรำและอากาศชื้นทำให้ฉันไม่สบายหลายครั้ง จนติดนิสัยพกร่มติดตัวเสมอ “คุณมาจากไหน” เป็นคำถามยอดนิยมของเพื่อนร่วมชั้น ฉันตอบโดยไม่คิดว่า “ลู่กัง เมืองจางฮั่ว” ยิ่งอยู่ไทเปนาน คำตอบนี้ยิ่งมีความหมายมากขึ้น มันไม่ใช่แค่คำบอกเล่าถึงบ้านเกิด แต่ยังเชื่อมโยงกับความรู้สึกเป็นเจ้าของ และรากเหง้าทางวัฒนธรรม เรื่องเล็ก ๆ ที่เคยเป็นเรื่องปกติกลับกลายเป็นสิ่งที่คิดถึง เช่น อาหารทะเลในมื้อประจำวัน เสียงภาษาถิ่นลู่กังที่คุ้นเคยบางครั้งการพูดถึงอัตลักษณ์ หมายถึงการสำรวจเรื่องชาติพันธุ์ ช่วงเริ่มต้นมหาวิทยาลัย ฉันเริ่มสนใจประเด็นแรงงานอพยพ และเริ่มเข้าใจเส้นทางของแม่ฉันซึ่งย้ายจากเวียดนามมาอยู่ที่ไต้หวันเพราะการแต่งงาน ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Brides ที่ฉันดูในห้องเรียน เป็นครั้งแรกที่ฉันมองเห็นสังคมไต้หวันผ่านสายตาของผู้หญิงอพยพ และเริ่มเผชิญกับประสบการณ์ของแม่อย่างจริงจัง เรื่องราวในวัยเด็กที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นการผจญภัยครั้งใหญ่ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการย้ายถิ่น นำมาซึ่งความเข้าใจผิด อคติ และความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อฉันอย่างลึกซึ้ง ฉันใช้เวลากว่า 20 ปี โดยไม่เคยรู้จักบ้านเกิด ภาษา หรือเรื่องราวการย้ายถิ่นของแม่เลยการหันกลับสู่ทิศใต้ เปิดบทสนทนาใหม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์หลังจากนั้นไม่นาน ไต้หวันเริ่มใช้ “นโยบายมุ่งใต้” ภูมิหลังของครอบครัวผู้อพยพเริ่มถูกยอมรับว่าเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เด็กรุ่นที่สองจากครอบครัวข้ามชาติจะมีอัตลักษณ์แบบไหน? พวกเขาพูดภาษาของพ่อแม่ผู้อพยพได้ไหม? ความคาดหวังของสังคมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้สะดวกสบายเสมอไป อัตลักษณ์ของลูกหลานผู้อพยพอาจถูกลดทอนให้เหลือเพียงคำตอบเดียวแบบ “สองชาติ” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของพ่อแม่อย่างลึกซึ้ง เรื่องนี้จึงนำไปสู่ความสงสัยในตนเอง ความรู้สึกที่อธิบายยาก ซึ่งฉันก็เคยเผชิญต่อมา ฉันมีโอกาสกลับไปบ้านเกิดของแม่ เรียนภาษาเวียดนาม และได้คืนดีกับความทรงจำที่เจ็บปวดจากความขัดแย้งทางวัฒนธรรม การเรียนภาษาช่วยให้ฉันใกล้ชิดกับแม่มากขึ้น ฉันยังจำได้ว่า ตอนที่พูดภาษาเวียดนามกับแม่เป็นครั้งแรก เธอทั้งตกใจและดีใจ มันเป็นวิธีที่ฉันแสดงความห่วงใย แต่ก็ตลกดีที่สำเนียงเวียดนามภาคเหนือของฉัน แม่ของแม่ที่อยู่ไซ่ง่อนไม่ค่อยเข้าใจ ถึงแม้ฉันจะมีพื้นฐานภาษาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเวียดนามได้เลย เพราะฉันไม่เคยใช้ชีวิตที่นั่นจริง ๆเมื่อได้ฟังเรื่องราวของลูกหลานผู้อพยพคนอื่น ๆ ฉันจึงเข้าใจว่า อัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ในวันเดียว แต่มันคือกระบวนการที่ต้องค้นหาและตีความซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่ใช่แค่คนที่ติดอยู่ระหว่างสองวัฒนธรรม แต่เป็นเหมือนนักสะสม ที่รวมความทรงจำ อารมณ์ ภาษาเข้าไว้ด้วยกัน ทุกครั้งที่ฉันพูดถึงครอบครัว ประสบการณ์เรียนภาษา หรือความเข้าใจผิดที่เกิดจากวัฒนธรรม ก็เป็นเหมือนการจัดระเบียบความเป็นตัวเองใหม่อีกครั้ง สำหรับฉัน อัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่มันคือคำเชิญชวนให้เกิดการสนทนาและเข้าใจกันสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้นในการอยู่ร่วมกับประเด็นอัตลักษณ์ คือการได้เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มลูกหลานผู้อพยพ และได้อ่านบทความในคอลัมน์ "เสียงของรุ่นสอง" ซึ่งทำให้ฉันได้รู้จักชีวิตของคนอื่น ๆ ที่มีเส้นทางคล้ายกัน และค้นพบความรู้สึกร่วมในความแตกต่าง ตัวอย่างเช่น เด็กรุ่นสองที่เติบโตมาในระบบการศึกษาภาษาจีน มักเริ่มเรียนรู้ภาษาของพ่อแม่หลังจากได้ไตร่ตรองเรื่องการย้ายถิ่นและอัตลักษณ์ บางคนเล่าว่า ในฐานะพี่คนโต ต้องช่วยดูแลน้อง ๆ และเป็นคนกลางคลี่คลายความขัดแย้งในครอบครัว ประสบการณ์นี้พบได้ทั่วไปในหลายครอบครัวไต้หวัน แต่ในครอบครัวผู้อพยพ เราอาจมีหน้าที่แปลวัฒนธรรมเพิ่มเติม เพราะในฐานะรุ่นที่สอง เราคือเพื่อนร่วมผจญภัยในเรื่องราวการย้ายถิ่นลูกหลานผู้อพยพรุ่นที่สองเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสังคมไต้หวัน และก่อนที่จะสงสัยในอัตลักษณ์ของพวกเขา เราไม่ควรลืมว่า ภายในกลุ่มรุ่นที่สองก็มีความหลากหลายเช่นกัน พวกเขาอาจเป็นรุ่นใหม่ที่เติบโตในไต้หวัน แต่ก็อาจมีรากฐานจากครอบครัวดั้งเดิมในท้องถิ่นเช่นกัน แต่ละคนมีจังหวะและเส้นทางของตัวเอง เรื่องราวของอัตลักษณ์มีคุณค่าอยู่ที่การเข้าใจในความแตกต่าง และการมองเห็นชีวิตที่มีมิติหลากหลายของแต่ละคนที่อยู่เบื้องหลังคำว่า "กลุ่มชาติพันธุ์"
หากลูกค้าสั่ง "คาปูชิโน่ไม่ใส่นม" อาจทำให้พนักงานร้านกาแฟงงไม่น้อย เพราะสูตรดั้งเดิมของคาปูชิโน่นั้นประกอบด้วยเอสเปรสโซ่ นมสตีม และโฟมนมในอัตราส่วน 1:1:1 แต่กระนั้น ปัจจุบันมีการคิดค้นสูตรใหม่ที่สามารถตอบโจทย์คำสั่งนี้ได้ โดยการใช้ "โฟมกาแฟ" ที่ตีจากเอสเปรสโซ่ผสมน้ำและน้ำแข็งจนขึ้นฟอง ลักษณะคล้ายการทำฟองนมในลาเต้อาร์ทเทคนิคดังกล่าวได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะใน TikTok มีหลายคลิปที่แชร์สูตร "Cappuccino without milk" ที่ให้รสชาติคล้ายคาปูชิโน่แต่ไม่ใส่นม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถบริโภคนมได้ หรือผู้ที่อยากลองเมนูใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไป ทั้งยังเป็นโอกาสให้บาริสต้าได้แสดงฝีมือการดีไซน์เครื่องดื่มอย่างสร้างสรรค์หน้าตาคาปูชิโน่ไม่ใส่นม หรือ Cappuccino without milk จากร้านกาแฟควบโรงคั่วเรดชิฟต์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ส ในแคลิฟอร์เนีย (ภาพ : tiktok.com/@redshift_coffee)แม้คำสั่งของลูกค้าจะดูแปลกในสายตาหลายคน แต่หากพนักงานมีความรู้ ความเข้าใจในกาแฟและพร้อมรับมือด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ให้น่าประทับใจได้ และยังเพิ่มทางเลือกใหม่ให้วงการกาแฟอีกด้วย