นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวหลังจากร่วมประชุมกับเครือข่ายต้านสารเคมีวัตถุอันตรายทางการเกษตร686 องค์กร ว่า พรรคประชาธิปัตย์และกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันมีนโยบายแบน 3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตทันที โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายขับเคลื่อนไปสู่เกษตรยั่งยืน ทำให้ประเทศไทยเป็น “Organic Thailand” และยินดีร่วมกับทุกกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาที่หมักหมมด้านเกษตรมานานครึ่งศตวรรษที่จะต้องไร้ทุจริตและไร้ผลประโยชน์แอบแฝง
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า รมว.เกษตรฯ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารเกษตรกรรมยั่งยืนและเป็นประธาน จะเร่งเสนอร่าง พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืนเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว เพื่อจะเดินหน้าทำเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบในพื้นที่เกษตร 149 ล้านไร่ทั่วประเทศ พร้อมกับตรา พ.ร.บ.องค์กรเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เพื่อเป็นองค์กรทำหน้าที่ขับเคลื่อนการทำเกษตรในประเทศไทยให้ดำเนินตามศาสตร์พระราชาได้แก่ ทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ โดยดำเนินการผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 882 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์ถ่ายทอดความรู้ที่มีกว่า10,000 แห่ง รวมทั้งร่วมกับยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ เกษตรแปลงใหญ่ ตั้งเป้าผลักดันไปสู่เกษตรอินทรีย์ 1 ล้านไร่ ภายในปี 2563 จำนวน 5 ล้านไร่ และปีต่อไป จะขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ปีละ 25 % พร้อมกับปรับปรุงโครงสร้างภาษีตามกฎหมายสิทธิ์ความปลอดภัยของผู้บริโภค เพื่อเก็บภาษีการนำเข้าสารเคมีทุกชนิดมาเข้ากองทุนเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทยเหมือน เช่น การเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จะไม่ยอมให้คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง หรือต้องอยู่กับโรคต่าง ๆ อย่างทุพพลภาพ เหมือนพืชผักที่ตายทั้งเป็น ดังนั้น การแบน 3 สารพิษ จะต้องเกิดขึ้น 1 ธ.ค.นี้ โดยรัฐบาลมอบให้รัฐมนตรีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกคนเดินหน้าเรื่องนี้ทันที นอกจากนี้ นายเฉลิมชัย ได้เรียกบัญชีสารชีวภัณฑ์จากกรมวิชาการเกษตรมาดูทั้งหมดอย่างเร่งด่วน เพื่อปรับเปลี่ยนการทำเกษตรของประเทศนี้ไปสู่เกษตรยั่งยืนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะเกษตรกรเคยชินกับการใช้สารเคมี แต่เป็นเป้าหมายแรกที่จะให้เป็นสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยพร้อมจะเป็นครัวโลก และก้าวไปสู่เกษตรอินทรีย์ หรือ G0 Organic Thailand
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) กล่าวว่า เรากังวลอย่างเดียว รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะแบน 3 สาร แต่ท้ายที่สุดจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากดูกรอบเวลาจะต้องมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายภายใน 2 สัปดาห์นี้ เพื่อให้การแบน 3 สาร มีผลบังคับใช้ทันวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ตามที่ น.ส.มนัญญา เสนอ และเรียกร้องนายกรัฐมนตรีจะต้องเห็นผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ และต้องมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนจากเกษตรเคมีเป็นเกษตรปลอดภัย ซึ่งรัฐต้องสนับสนุนเกษตรกรเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมารัฐอำนวยความสะดวกให้เอกชน โดยไม่เก็บภาษีนำเข้าสารต่าง ๆ มากว่า 30 ปี อ้างว่าเกษตรกรจะได้มีต้นทุนราคาถูก และเชื่อว่าเมื่อเกษตรกรรู้พิษภัยของสารเคมี เกษตรกรจะไม่ยินยอมให้ผู้อื่นเอาสารพิษมาให้ใช้อีก ทางเครือข่ายจะติดตามท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป
ข้อมูลข่าวจาก สำนักข่าวไทย