เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือกับ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงกระบวนการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ว่า นับเป็นความท้าทาย และสิ่งสนับสนุนเพื่อให้การพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ประสบผลสำเร็จและคนไทยเข้าถึงวัคซีน ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบเพื่อการค้นคว้าวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบกลางเพื่อพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ 1,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อการเตรียมความพร้อมในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี อีกส่วนหนึ่งจะสนับสนุนแก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีความคืบหน้ามาระดับหนึ่งแล้ว
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้คำยืนยันว่าจะดำเนินการทุกวิถีทางที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ได้เร็วที่สุดและในจำนวนที่เหมาะสม กระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้จัดสรรให้เฉพาะงบประมาณ แต่ได้มอบหมายให้ อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทุ่มเท สนับสนุน ร่วมมือ เรื่องนี้เต็มที่ ถ้าพิสูจน์ชัดเจนว่าวัคซีนปลอดภัย ต้องผ่านเพื่อนำไปสู่การทดลองต่อโดยเร็วที่สุด
ด้านศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจะนำมาดำเนินงานโครงการพัฒนาวัคซีน mRNA รวมถึงการผลิตวัคซีน 10,000 โด๊ส สำหรับทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 – 2 ในกรอบวงเงินจำนวน 400 ล้านบาทนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะให้การทำงานขับเคลื่อนไปข้างหน้า ในขณะที่ภาพใหญ่ของโลกมีวัคซีน 7 ชนิดที่เข้าสู่การทดลองระยะที่ 3 คือประเทศจีน อเมริกา อังกฤษ เชื่อว่าอย่างน้อยต้นปีหน้าจะมีวัคซีน 1 ชนิดที่เข้าเส้นชัย จะทำให้ทราบว่าภูมิคุ้มกันของวัคซีนจะต้องสูงระดับใด เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับพัฒนาวัคซีนไทย เมื่อทราบระดับภูมิคุ้มกันที่จะทดลองในอาสาสมัครไทยแล้ว คาดว่าจะผลิตในโรงงานของไทยได้ภายในไตรมาส 3 หรือ 4 ปีหน้า คือไบโอเนทเอเชียที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
เมื่อเราได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศซึ่งใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ไทยก็จะสามารถผลิตวัคซีนได้เอง ขณะนี้ อยู่ระหว่างการส่งข้อมูลให้อย. ตรวจสอบความปลอดภัย การเสนอคณะกรรมการจริยธรรม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเตรียมโรงงานสำหรับผลิตวัคซีน 10,000 โด๊ส เตรียมทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกกรม ห้องปฏิบัติการ เมื่อกระบวนการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงจะประกาศรับอาสาสมัครทดลองวัคซีน คาดว่าจะประมาณเดือนธ.ค. 2563 โดยจะเร่งในระยะที่ 1 -2 ก่อนคือดูขนาดที่เหมาะสมในคนที่อายุไม่มาก 18 – 55 ปี จำนวน 48 คน เมื่อปลอดภัย จะทดลองในคนอายุ 65 – 75 ปี อีก 48 คน และขนาดที่เหมาะสมสำหรับคนไทย และจะทดลองในระยะที่ 2 อีก 300 คน ถ้าในต้นปีหน้ามีวัคซีนต่างประเทศที่สำเร็จ ไทยอาจไม่ต้องทดลองในระยะที่ 3 เพราะรู้ว่าภูมิจะต้องสูงเท่าไหร่ หากระยะที่ 2 มีภูมิคุ้มกันเท่ากับวัคซีนที่ต่างประเทศผลิตสำเร็จ อย.อาจรับรอง ให้ผลิตได้ 30 ล้านโด๊ส หรือเท่ากับจำนวนที่โรงงานเราสามารถผลิตได้
“ประเทศไทยทำถูกแล้ว ที่ได้เตรียมตัวทั้งการเตรียมการจัดหาวัคซีนจากต่างประเทศ การต่อรองเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีของวัคซีนเพื่อให้สามารถผลิตในประเทศไทย รวมทั้งการให้ทุนสนับสนุนและส่งเสริมการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ” ศ.นพ.เกียรติกล่าว
ข้อมูลข่าวจาก กระทรวงสาธารณสุขไทย