img
:::

ไตร่ตรองจุดยืนของตนเอง หลี่อวิ๋นฉีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 อุทิศตนให้กับองค์การนอกภาครัฐ NGO

หลี่อวิ๋นฉีถ่ายภาพที่เวียดนาม ภาพ/จาก หลี่อวิ๋นฉี (李芸綺)
หลี่อวิ๋นฉีถ่ายภาพที่เวียดนาม ภาพ/จาก หลี่อวิ๋นฉี (李芸綺)
เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่】ผู้แปลและเรียบเรียง/นงค์รักษ์ เหล่ากอคำ (李慧毓)

“เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาอาศัยอยู่ที่ไต้หวัน ทำไมถึงไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลย” หลี่อวิ๋นฉี (李芸綺) กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงเจิ้ง ภาควิชาสวัสดิการสังคม หลายครั้งเธอได้มีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่เวียดนามกับแม่ ยากยิ่งที่จะได้เห็นแม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ว่าแล้วก็นึกถึงคำพูดที่แม่คอยเตือนตัวเอง “อย่าให้คนอื่นรู้นะว่ามีแม่เป็นคนเวียดนาม เพราะเดี๋ยวจะโดนคนอื่นดูถูกเอา” หลี่อวิ๋นฉีในฐานะผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 อดไม่ได้ที่จะมาทบทวนสถานะตัวตนของตนเอง

อายุเพียง 20 ต้น ๆ ยังวัยรุ่นอยู่เลย แต่กลับใส่ใจในเรื่องประเด็นปัญหาสังคมแล้ว โดยเธอได้เข้าร่วมองค์การนอกภาครัฐ (non-governmental organization, NGO) ซึ่งเป็นองค์การที่ไม่แสวงผลกำไร เขามักถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง “ทุกคนคาดหวังอะไรในตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 บ้างนะ” “เป็นเพราะว่ามีแม่เป็นคนเวียดนามเลยโดนคนอื่นพูดเสียดสีและเลือกปฏิบัติ หรือเป็นเพราะฉันเรียนภาษาเวียดนาม หรือเป็นเพราะรัฐมีนโยบายมุ่งใต้ใหม่ เลยทำให้ฉันได้มีโอกาสมาเป็นอีกแรงช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ”

หลี่อวิ๋นฉี (กลาง) ถ่ายภาพร่วมกับครอบครัวที่เวียดนาม ภาพ/จาก หลี่อวิ๋นฉี (李芸綺)

สำหรับหลี่อวิ๋นฉีแล้วแม่เป็นคนมากความสามารถอีกทั้งเป็นคนร่าเริง “แต่ ขนาดฉันที่คิดว่าตนเองสนิทกันกับแม่มาก ๆ แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าความรู้สึกภายในใจของแม่จริง ๆ แล้วกำลังคิดอะไรอยู่” หลี่อวิ๋นฉีคอยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างแม่กับคุณย่าจนเธอเรียนถึงชั้นมัธยมปลาย ถึงได้เข้าใจถึงความแตกต่างของภาษา และเข้าใจความรู้สึกของแม่ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยคาดคิดอยู่บ่อยครั้ง

เธอนึกถึงคำพูดที่แม่คอยเตือนเธออยู่เสมอ “อย่าบอกคนอื่นนะว่าเธอเป็นคนเวียดนาม” แม้ว่าหลี่อวิ๋นฉีจะบอกแม่เสมอว่าไม่ต้องกังวล แต่แม่ยังคงคอยย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เมื่อลองย้อนกลับมาคิด ๆ ดูแล้ว ที่แม่มีความคิดแบบนี้ คงเป็นเพราะตอนที่แม่ย้ายมาอยู่ที่ไต้หวันเคยเจอกับเรื่องราวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เลยหวังว่าฉันจะไม่เป็นเหมือนตัวเองแหละ”

หลี่อวิ๋นฉีเริ่มให้ความสนใจกับประเด็นปัญหาสังคม หลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอยังได้เข้าร่วมในกลุ่ม NGO “越在嘉” (เย่วจ้ายเจีย) และ “แพลตฟอร์ม Listener” ไม่เพียงแต่เริ่มค้นหาตัวเอง เธอยังได้เขียนบทความ และลงพื้นที่สำรวจกับเพื่อน ๆ ในทีมด้วย เธอพบว่างานสังคมสงเคราะห์ไม่ได้รับความสนใจมากนักในไต้หวัน และจำนวนจิตอาสาก็น้อยเกินไป “อีกทั้งงานสังคมสงเคราะห์สำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ยิ่งน้อยลงไปอีก เนื่องจากอุปสรรคทางด้านภาษา”

เธอตัดสินใจตั้งใจเรียนภาษาเวียดนาม นอกจากจะย่นระยะห่างกับแม่และญาติพี่น้องชาวเวียดนามแล้ว ยังหวังว่าการเรียนภาษาในครั้งนี้จะสามารถช่วยเหลือพี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันต่อไปในอนาคต

“จุดยืนในฐานะผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 ความรู้สึกมันซับซ้อนและยากที่จะหาคำตอบ จนถึงวันนี้ยังไม่มีคำตอบให้ตัวเองเลย แต่หากมองอีกมุมหนึ่งแล้ว หากสถานะผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 เป็นสิ่งที่แม่มอบให้ เป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือการเป็นที่หลบภัยในไต้หวันของแม่ และเป็นเสาหลักที่สำคัญของแม่”

ตัวตนที่แท้จริงอาจจะยังหม่นหมอง แต่หลี่อวิ๋นฉีรู้ตระหนักอยู่เสมอว่า เธออยากจะเข้าใจแม่และยิ่งอยากจะรู้จักเวียดนามมากขึ้น ในการแสดงออกถึงความรัก “สำหรับฉันหรือสำหรับแม่แล้ว ไม่มีการแบ่งสัญชาติ”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ข่าวเด่นประเด็นร้อน

:::
回到頁首icon
Loading