:::

ลูกน้อยนอนเพียงพอหรือไม่? เคล็ดลับง่ายๆ! ผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นแนะนำวิธีดูแลการนอนหลับของลูกน้อย

การนอนหลับมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจของเด็กอย่างมาก พ่อแม่หลายคนกังวลเกี่ยวกับเวลาที่ลูกควรเข้านอน ตื่นนอน และจำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสม (ภาพ / ได้รับความอนุเคราะห์จาก Heho)
การนอนหลับมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจของเด็กอย่างมาก พ่อแม่หลายคนกังวลเกี่ยวกับเวลาที่ลูกควรเข้านอน ตื่นนอน และจำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสม (ภาพ / ได้รับความอนุเคราะห์จาก Heho)

ความต้องการการนอนหลับของเด็กเป็นปริศนาที่พ่อแม่หลายคนสงสัย จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กนอนพอหรือไม่? “ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนของเด็กชาวญี่ปุ่น เทรุฮิสะ มิอิเคะ”แนะนำวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด คือสังเกตว่าเด็กสามารถตื่นเองได้โดยไม่ต้องปลุกหรือไม่ มิอิเคะ ผู้มีประสบการณ์วิจัยเกี่ยวกับปัญหาการนอนหลับของเด็กมายาวนานกว่า 30 ปี เสนอว่า พ่อแม่สามารถใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ในการสังเกต ก็จะรู้ถึงความต้องการการนอนที่แท้จริงของลูกได้  

เด็กแต่ละคนมีความต้องการการนอนหลับที่ไม่เหมือนกัน บางคนต้องการนอนมาก บางคนต้องการนอนน้อยกว่า ทั้งนี้ ตามคำแนะนำของ **National Sleep Foundation** ประเทศสหรัฐอเมริกา

- เด็กก่อนวัยเรียน (อายุ 3-5 ปี): ควรนอน 10-13 ชั่วโมงต่อวัน  - เด็กวัยประถม (อายุ 6-13 ปี): ควรนอน 9-11 ชั่วโมง  - วัยรุ่น (อายุ 14-17 ปี): ควรนอน 8-10 ชั่วโมง  

อย่างไรก็ตาม มิอิเคะแนะนำว่าพ่อแม่ควรใช้การสังเกตเวลาที่ลูกตื่นเองโดยธรรมชาติเป็นตัวกำหนดความต้องการการนอน ซึ่งวิธีนี้ทั้งเป็นวิทยาศาสตร์และลดความกดดันสำหรับเด็ก  

สำหรับครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานทั้งสองคน เวลากลับบ้านที่ดึกอาจทำให้เวลาเข้านอนของเด็กเลื่อนออกไป เนื่องจากการรับประทานอาหารเย็น อาบน้ำ ทำการบ้าน และงานบ้านอื่นๆ การนอนหลับมีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจของเด็ก พ่อแม่จึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างกิจวัตรการนอนที่สม่ำเสมอ การสร้างนิสัยการนอนที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตของเด็ก  

มิอิเคะเน้นว่า ยิ่งเด็กเริ่มสร้างนิสัยการนอนที่สม่ำเสมอเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จากการวิจัยพบว่า เวลานอนและตื่นของเด็กมักถูกกำหนดตั้งแต่อายุ **18 เดือนถึง 2 ปี** ดังนั้นการเริ่มต้นสร้างกิจวัตรที่สม่ำเสมอตั้งแต่วัยทารก จะทำให้เด็กสามารถรักษากิจวัตรนี้ได้แม้เติบโตขึ้น   

พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่าหากเด็กนอนไม่พอในตอนกลางคืน การงีบหลับในตอนกลางวันจะช่วยชดเชยได้ แต่ ”มิอิเคะ” ชี้ให้เห็นว่านี่เป็นความเข้าใจที่ผิด การงีบหลับที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดวงจรที่ไม่ดี คือ นอนดึกในตอนกลางคืนและต้องการงีบหลับมากขึ้นในวันถัดไป ทำให้กิจวัตรการนอนหลับของเด็กสับสน หากเด็กสามารถตื่นเองในตอนเช้าและมีอารมณ์ดี แสดงว่าเด็กได้นอนพอแล้ว เวลางีบหลับจะลดลงตามอายุ ทั้งนี้ มิอิเคะยังแนะนำว่า การงีบหลับไม่ควรเกินเวลา  “14.00 น.” เพื่อให้นอนหลับตอนกลางคืนได้ง่ายขึ้น  หากเด็กนอนหลับเพียงพอในตอนกลางคืน ความถี่และระยะเวลาในการงีบหลับจะค่อยๆ ลดลงตามอายุ (ภาพ / ได้รับความอนุเคราะห์จาก Pexels)

ในช่วงวันหยุดหรือสุดสัปดาห์ เด็กหลายคนอาจนอนดึกและทำให้กิจวัตรการนอนหลับเสียหาย ส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ การหลั่งฮอร์โมน และการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ทำให้การฟื้นฟูกิจวัตรการนอนหลับยากขึ้น การรักษากิจวัตรที่สม่ำเสมอคือวิธีที่ดีที่สุด แต่หากกิจวัตรการนอนหลับถูกรบกวน เช่น ในช่วงปิดเทอม มิอิเคะแนะนำว่า ควรเริ่มปรับกิจวัตรให้กลับสู่ปกติ “10-14 วันก่อนเปิดเทอม” เพื่อช่วยให้เด็กสามารถกลับมามีชีวิตประจำวันที่สมดุลได้


การนอนหลับที่เพียงพอช่วยสนับสนุนพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจของเด็ก ทำให้อารมณ์คงที่ และเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ด้วยการสังเกตเวลาตื่นเองของเด็ก สร้างกิจวัตรการนอนที่สม่ำเสมอ และควบคุมเวลางีบหลับ พ่อแม่สามารถมั่นใจได้ว่าเด็กได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ มาร่วมสร้างการนอนหลับที่ดีเพื่อให้ลูกของเราเผชิญกับทุกวันใหม่ด้วยพลังงานและความสดใส!

แหล่งที่มา: Mama & Baby

ข่าวเด่นประเด็นร้อน

:::
ข่าวล่าสุด 最新消息icon
回到頁首icon
Loading