คุณอู่ ชื่อฟางเหิง (武氏芳恆) เป็นชาวนครโฮจิมิน ประเทศเวียดนาม ปัจจุบันเธอเป็นประธานสมาคมดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เขตปาหลี๋ นครนิวไทเป เนื่องจากในตอนนั้นทะเลาะกับแฟนชาวเวียดนาม ด้วยความโกรธจึงตัดสินใจแต่งงานมาอยู่ไต้หวัน
คุณอู่ ชื่อฟางเหิงอยู่ไต้หวันมาได้ 20 กว่าปีแล้ว ตอนนี้เธอได้เป็นครูสอนภาษาเวียดนามอยู่ที่โรงเรียนหลายแห่ง เธอกล่าวว่า เพราะว่าอายุน้อยและด้วยความโกรธจึงตัดสินใจออกเดทกับสามีชาวไต้หวันที่เพื่อนๆ แนะนำ และไม่สนใจการคัดค้านของครอบครัว หลังจากนั้น 3 วันต่อมาก็ตัดสินใจแต่งงานเลย และประมาณครึ่งปีหลังการแต่งงานจึงได้ย้ายมาอยู่ไต้หวันกับสามี ในตอนแรกเธอพูดภาษาจีนไม่ได้และสื่อสารกับสามีด้วยภาษาจีนเบื้องต้นพร้อมกับเปิดพจนานุกรม จนกระทั้งผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็เกิดความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
โชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากสามีของเธอ ก็ทำให้เธอสามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตและเริ่มไปทำงานที่โรงงาน และอยากที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม ในช่วงกลางคืนก็ได้ไปเรียนเสริมระดับชั้นประถมศึกษา อย่างไรก็ตามที่ในช่วงแรกๆ ที่ชีวิตของเธอนั้นชีวิตราบรื่นและมีความสุข แต่พระเจ้าก็ได้เล่นตลกกับเธอ ระหว่างทำงานก็ได้เกิดอุบัติเหตุจนทำให้เธอสูญเสียนิ้วมือไป 2 นิ้ว ทำให้เธอซึ่งเป็นผู้ที่รักสวยรักงามรู้สึกเศร้าอยู่นาน ต่อมาได้ลาออกจากโรงงาน และมาทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยดูแลเด็กบนรถโรงเรียน ซึ่งในตอนนั้นครอบครัวและครูที่โรงเรียนก็ได้ให้การสนับสนุนจนทำให้เธอก้าวผ่านความเลวร้ายมาได้
คุณอู่ ชื่อฟางเหิงมีความคิดที่จะเป็นครูมาโดยตลอด ดังนั้นเธอได้เข้าร่วมอบรมครูสอนภาษาเวียดนามของนครนิวไทเปในปี 2015 หลังจากนั้นได้สอบผ่านการเป็นครูจนได้เป็นครูสอนภาษาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในโรงเรียนชั้นประถมศึกษา นอกจากนี้ ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ที่เขตปาหลี๋นครนิวไทเป จึงเลือกที่จะสอนในโรงเรียนประถมศึกษาในพื้นที่ห่างไกลและเขตภูเขาที่หลิ๋นโข่ว เธอบอกเหตุผลว่า ถ้าเธอไม่ไปสอน โรงเรียนแถวนั้นก็อาจจะหาครูที่จะเดินทางไปสอนในพื้นที่ห่างไกลขนาดนั้นไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของเธอในการศึกษาอย่างเต็มที่
ตอนนี้ คุณอู่ที่ยุ่งอยู่กับการสอนทุกวันกล่าวว่า ฉันชอบนโยบายสวัสดิการสังคมของรัฐบาลไต้หวันมากที่สุด ให้ความใส่ใจและสนับสนุนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอกำลังเรียนเสริมที่มหาวิทยาลัยคงจงและทำหน้าที่เป็นประธานสมาคมดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เขตปาหลี๋ เธอหวังว่าจะสามารถให้การดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของไต้หวันได้เร็วขึ้น และช่วยพวกเขาแก้ปัญหาวิกฤติในชีวิต