ตามรายงานข่าวของ ‘The Standard’ The Rubberer คาเฟ่ดีไซน์เรียบง่ายในระยอง ลูกค้าสามารถดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟพร้อมสัมผัสเรื่องราวของยางพารา ซึ่งเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจประจำจังหวัดระยอง หลายคนฟังแล้วอาจไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่สำหรับเจ้าของคาเฟ่อย่าง คุณรังสิมันตุ์ ร่วมชาติ แล้ว เรียกได้ว่ายางพาราเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและเป็นธุรกิจของครอบครัวมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำสวนยางพารา ไปจนถึงการทำโรงงานแปรรูปแผ่นยาง เมื่อต้องการขยายธุรกิจด้วยการทำคาเฟ่ จึงนำเรื่องราว กรรมวิธีการผลิตนี้มาเป็นคอนเซ็ปต์ในการออกแบบร้าน อีกทั้งยังมีการนำเสนอกาแฟที่ใช้เมล็ดไทย 100% อีกด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม: สวนวชิรเบญจทัศหรือสวนรถไฟดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ซากุระเมืองไทยกำลังบานเต็มพื้นที่สวยงามมากๆ
ตัวคาเฟ่ตั้งอยู่แบบสแตนด์อโลน เป็นอาคารสีดำชั้นเดียวที่มีความยาวมากถึง 20 เมตร นั่นเป็นเพราะถูกถอดรูปทรงและแมตทีเรียลมาจากโรงตากยางเดิมที่อยู่ในละแวกเดียวกัน แต่ลดทอนความดิบของวัสดุลง และสร้างคาแร็กเตอร์ใหม่ให้ดูเรียบง่าย ด้วยการตกแต่งที่มีกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นแบบมินิมัลเข้าไป
เมื่อเข้าสู่ภายในร้านจะเห็นได้ว่าการตกแต่งมีการใช้วัสดุที่ดิบเท่ไม่ต่างจากด้านนอก แต่ดีเทลต่าง ๆ ค่อนข้างเนี้ยบและเรียบร้อยมาก มีทางออกไปสู่โซนที่นั่งแบบ Semi-Outdoor ที่ด้านบนตกแต่งด้วยแผ่นยางดิบ แขวนเรียงกันเหมือนจำลองกระบวนการผลิตในโรงงานจริงๆ และในคอร์ตหินมีแท่นรีดยางเก่าแบบแมนวล ซึ่งเป็นเครื่องจักรในโรงงานที่ไม่ได้ใช้แล้ว นำมาจัดแสดงอยู่ด้วย พื้นที่นี้จึงเป็นเหมือนมุมมิวเซียมเล็กๆ ที่ให้เราได้เพลิดเพลินกับเครื่องดื่มและขนม ไปพร้อมๆ กับสัมผัสเรื่องราวและกรรมวิธีในการผลิตยางพาราที่อาจยังไม่รู้มาก่อน
อ่านข่าวเพิ่มเติม: FUNNY BUNNY ร้านคาเฟ่ที่เปิดขึ้นเพื่อเลี้ยงดูกระต่ายที่ถูกทอดทิ้ง เปิดมาแล้ว 2 ปีกว่ามีกระต่าย มากว่า 30 ตัว
ไม่เพียงแต่เรื่องของการออกแบบที่เรียบง่าย จริง ๆ แล้วกาแฟที่ร้านนำเสนอก็เรียบง่ายไม่แพ้กัน โดยคำนิยามของ The Rubberer คือต้องการเสิร์ฟ Daily Coffee กาแฟที่รับประทานได้ทุกวันในราคาที่จับต้องได้ ทางร้านเลือกใช้เมล็ดกาแฟไทย 100% ซึ่งเป็น Single Origin มาจากแหล่งเพาะปลูกเดียวคือ สวนแม่บู่หย่า ดอยปางขอน จังหวัดเชียงราย ที่มีเอกลักษณ์ในเรื่องของรสชาติเฉพาะตัว และมีเพียง 5 โรงคั่วในประเทศไทยที่มีโอกาสได้ใช้เมล็ดกาแฟนี้ โดยทางร้านคอลแลบกับโรงคั่วที่มีชื่อว่า Cozy Factory
แน่นอนว่าเมื่อคัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพจากแหล่งเดียวมาใช้ เมนูจึงเป็นเมนูคลาสสิกยืนพื้นอย่าง กาแฟดำ Black (70 บาท) ที่มีคาแร็กเตอร์รสชาติของเมล็ดกาแฟชัดเจน และอีกเมนูคือ กาแฟนม White (80 บาท) ที่ทางร้านคิดค้นอัตราส่วน ปริมาณนม และปริมาณกาแฟ ให้เหมาะสมสำหรับเมล็ดกาแฟสวนแม่บู่หย่าที่สุด โดยทั้งสองเมนูสามารถเลือกเมล็ด House Blend ได้ทั้ง Chimera และ Unicon หรือใครชอบรสชาติแบบคาแร็กเตอร์ไหน สามารถลองให้บาริสต้าแนะนำเพิ่มเติมได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก: The Standard