ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวลือว่า ผู้ที่รับประทานมะม่วงที่มีจุดสีดำบนเปลือก และมีรสชาติเปรี้ยวๆ เข้าไป เกิดอาการไม่ดี
ต้องรีบส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาโดยด่วน เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา สภาการเกษตรไต้หวันได้ออกมาอธิบายถึงโรคที่ทำให้มะม่วงเกิดจุดสีดำคือ โรคแอนแทรกโนส และโรคราดำ ถ้าหากมะม่วงมีความเสียหายจากโรคดังกล่าวเพียงเล็กน้อย ก็สามารถตัดจุดดำๆ ดังกล่าวทิ้ง โดยส่วนอื่นยังสามารถทานได้ แต่ถ้ามะม่วงมีรสเปรี้ยวเหม็นๆ ก็ไม่ควรทานต่อ
ฤดูร้อนเป็นฤดูการของมะม่วง ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกหลักๆ อยู่ทางภาคใต้ของไต้หวัน หลายปีมานี้มีได้พัฒนาพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมรับประทานของคนในประเทศเท่านั้น ยังมีการส่งออกไปขายในต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ทุกครั้งที่ถึงฤดูกาลของมะม่วง หลายคนก็อกไม่ได้ที่จะซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีแพทย์ท่านหนึ่งได้กล่าวในรายการทอล์คโชว์ว่า ตนเคยเจอกับคนไข้ที่รับประทานมะม่วงที่มีจุดดำ และมีอาการคลื่นใส้ อาเจียน และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา
ผู้เชี่ยวชาญด้านมะม่วง สถานีวิจัยและขยายการเกษตรเกาสงกล่าวว่า จุดดำบนผิวของมะม่วงมีสาเหตุจากโรคแอนแทรกโนส และโรคราดำ แต่จะแพร่มาสู่ร่างกายมนุษย์ หากมีส่วนที่เสียหายเล็กน้อย เพียงแค่ตัดส่วนนั้นทิ้ง และทานส่วนที่เหลือโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย อย่างไรก็ตามหากมะม่วงเสียหายอย่างเห็นได้ชัด หรือมีหลายกรณี เช่น การเปลี่ยนสีและรสชาติมันควรจะทิ้งและไม่ควรกินต่อ
มะม่วงไต้หวันมีมากมายหลากหลายพันธุ์ ในขณะที่เกษตรกรมีเทคนิคการเพาะปลูกที่ดี แต่จะเก็บรักษามะม่วงหลังจากซื้อกลับไปบ้านอย่างไร? รองศาสตราจารย์อู่ จุนต๋า (吳俊達) ผู้เชี่ยวชาญหลังการเก็บเกี่ยวของภาควิชาพืชสวนและภูมิทัศน์ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันกล่าวว่า สำหรับสายพันธุ์ Irwin ทั่วไป ซื้อกลับไปบ้าน หากสุกแล้วควรทานทันที แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์ Yuwen (玉文)หรือ Jinhuang (金煌) ซื้อกลับไปแล้วต้องรอให้สุกนิ่ม และมีกลิ่นหอมก่อนรับประทาน หากยังไม่พร้อมที่จะกินควรเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อรักษาสถานะการเก็บรักษาที่ดีที่สุด และควรรับประทานโดยเร็วที่สุดเพื่อลิ้มรสชาติของมะม่วงที่สดใหม่