สถานีบริการนครไทเปของกองงานเขตเหนือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้จัดอบรมหลักสูตรฝึกทักษะการปฐมพยาบาลสำหรับทูตรุ่นที่สอง โดยเชิญพยาบาล จาง ถิงเหว่ย มาให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ CPR (การกู้ชีพหัวใจและปอด) การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) และการใช้วิธีการไฮม์ลิก พร้อมแบ่งปันประสบการณ์การทำงานเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เข้าร่วม จาง ถิงเหว่ย ได้กล่าวว่า "เลือกในสิ่งที่คุณรักและรักในสิ่งที่คุณเลือก" เพื่อใช้ความรู้ทางวิชาชีพตอบแทนสังคมและสร้างเส้นทางอาชีพที่ยั่งยืนจาง ถิงเหว่ย (ซ้าย) สอนทูตรุ่นที่สองวิธีการทำการกู้ชีพหัวใจและปอด (ภาพ/อ้างอิงจากเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 สถานีบริการนครไทเปได้รวบรวมลูกหลานรุ่นที่สองของผู้อยู่อาศัยใหม่จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อก่อตั้ง "กลุ่มทูตสันถวไมตรีรุ่นที่สอง" พร้อมจัดหลักสูตรฝึกอบรมหนึ่งปีที่ครอบคลุมการสำรวจตนเอง การฝึกมารยาท และการผลิตวิดีโอเพื่อสร้างทูตที่โดดเด่น จาง ถิงเหว่ย ซึ่งเป็นสมาชิกในรุ่นแรก ได้รับเชิญให้กลับมาชี้แนะความรู้ด้านการปฐมพยาบาลและแบ่งปันการใช้งานจริงจากงานพยาบาลของเขา
แม่ของจาง ถิงเหว่ย มาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ด้วยบุคลิกที่กระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา เขาทำงานเป็นพยาบาลในสถานดูแลระยะยาว ดูแลผู้ป่วยที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้และผู้ป่วยจิตเวช เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทักษะการปฐมพยาบาลมีความสำคัญมาก จาง ถิงเหว่ย เน้นว่าหากสมองขาดออกซิเจนนานกว่า 6 นาที จะทำให้สมองได้รับความเสียหาย ดังนั้นการฝึกฝนทักษะการปฐมพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อใช้เวลาทองในการช่วยชีวิตจาง ถิงเหว่ย (ซ้าย) ดูแลผู้สูงอายุด้วยความรักในชีวิตประจำวัน และมุ่งหวังที่จะตอบแทนสังคมในฐานะ "ไนติงเกลชาย" (ภาพ/อ้างอิงจากเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
จาง ถิงเหว่ย เล่าเหตุการณ์ที่เขาเคยดูแลคุณยายที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์และเกิดอาการสำลักอาหาร สถานการณ์นั้นวิกฤตมาก เขาจึงใช้วิธีการไฮม์ลิกช่วยชีวิตได้สำเร็จ เขาเล่าว่า "ตอนนั้นเป็นช่วงวินาทีชีวิต โชคดีที่คุณยายปลอดภัย ทำให้ผมตระหนักถึงความสำคัญของการปฐมพยาบาล"
ในฐานะพยาบาลชาย จาง ถิงเหว่ย มักพบเจอสายตาแปลก ๆ จากคนรอบข้าง บางครั้งคนไข้หญิงปฏิเสธการดูแลจากเขาเพราะเรื่องเพศ แต่เขารับมือด้วยความเป็นมืออาชีพ พยายามทำลายกรอบความคิดเกี่ยวกับเพศ และสร้างความไว้วางใจให้คนไข้และครอบครัวด้วยความเชี่ยวชาญของเขา จางกล่าวว่าเขาหวังที่จะเป็น "ไนติงเกลชาย" และหากมีโอกาสในอนาคต เขาต้องการเปิดสถานพยาบาลของตนเองเพื่อมอบการดูแลที่ใส่ใจและให้เกียรติ หวังว่าผู้คนจะเข้าสู่สายงานพยาบาลมากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลระยะยาวและช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากขึ้น