img
:::

เมื่อเด็กเริ่มลงมือทำร้ายคนอื่น ควรรับมืออย่างไร? 3 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่พ่อแม่ต้องรู้

เด็กวัย 1.5 ถึง 3 ปี มักมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่น เนื่องจากขาดทักษะการใช้ภาษาและการควบคุมตนเอง ซึ่งมักเกิดจากความยากลำบากในการแสดงออกถึงอารมณ์ ควรรีบหยุดพฤติกรรมและให้คำแนะนำในทางที่ถูกต้อง (ภาพ / Heho)
เด็กวัย 1.5 ถึง 3 ปี มักมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่น เนื่องจากขาดทักษะการใช้ภาษาและการควบคุมตนเอง ซึ่งมักเกิดจากความยากลำบากในการแสดงออกถึงอารมณ์ ควรรีบหยุดพฤติกรรมและให้คำแนะนำในทางที่ถูกต้อง (ภาพ / Heho)

พ่อแม่หลายคนเคยประสบปัญหาลูกเริ่มตีคนอื่นในช่วงเลี้ยงดูเด็ก แล้วควรจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรให้เหมาะสม? การที่เด็กตีคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเด็กตั้งใจจะทำร้ายคนอื่น แต่มักจะเป็นวิธีที่พวกเขาใช้แสดงออกถึงอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ บทความนี้จะแนะนำ 3 วิธีจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยพ่อแม่รับมือกับพฤติกรรมนี้ พร้อมทั้งสอนเด็กให้เรียนรู้วิธีการสื่อสารแบบไม่ใช้ความรุนแรง

เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของการตี

การที่เด็กตีคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเด็ก "ดื้อ" แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาเป็นคำพูดได้ เด็กที่มีอายุ 1.5 ถึง 3 ปี ยังไม่มีทักษะทางภาษาและการควบคุมอารมณ์ที่พัฒนาเต็มที่ ดังนั้น เมื่อพวกเขารู้สึกไม่สบายใจหรือหงุดหงิด หรือมีความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขามักจะแสดงออกด้วยการตี ดร.อลิซา เพรสแมน นักจิตวิทยา อธิบายว่าพฤติกรรมนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กได้รับสิ่งเร้าหรือเผชิญสถานการณ์ที่พวกเขาปรับตัวไม่ได้ เมื่อพ่อแม่เข้าใจสาเหตุเหล่านี้ ก็จะสามารถรับมือด้วยความสงบและใช้เหตุผลได้ดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 1: หยุดพฤติกรรมทันทีและสงบสติอารมณ์

เมื่อเด็กเริ่มตี สิ่งสำคัญที่สุดคือการหยุดพฤติกรรมนี้ทันทีและรักษาความสงบ เด็กมักตีไม่ใช่เพราะต้องการทำร้ายคนอื่น แต่เพราะอารมณ์ล้นหลาม พ่อแม่ควรมองตาเด็กและพูดด้วยน้ำเสียงสงบแต่หนักแน่นว่า "โกรธได้ แต่ตีไม่ได้" บอกเด็กว่าการตีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา และยึดมั่นในท่าทีนี้ การจัดการทุกครั้งอย่างสงบจะช่วยให้เด็กเข้าใจว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่ไม่ยอมรับเด็กเล็กมักมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่น เนื่องจากไม่สามารถแสดงออกถึงอารมณ์หรือความต้องการได้ ผู้ปกครองควรเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังและช่วยแนะนำให้เด็กแสดงอารมณ์อย่างใจเย็น (ภาพ / Heho)

วิธีง่ายที่สุด: เบี่ยงเบนความสนใจ

เมื่อเด็กอารมณ์เสีย การเบี่ยงเบนความสนใจมักเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด มอบของเล่นใหม่หรือชวนทำกิจกรรมอื่น เพื่อช่วยให้พวกเขาหลุดจากสถานการณ์ที่ทำให้เครียด หากเด็กสองคนกำลังแย่งของเล่นกัน พ่อแม่สามารถให้เวลาสักครู่เพื่อดูว่าพวกเขาจะหาทางออกเองได้หรือไม่ หากสถานการณ์เลวร้ายลง ของเล่นควรถูกเก็บและอธิบายว่า "การตีไม่ช่วยแก้ปัญหา" เพื่อให้เด็กเข้าใจว่าความรุนแรงไม่ได้ผล

หลังจากหยุดพฤติกรรม: ให้ความสำคัญกับอารมณ์และสอนวิธีแก้ไข

เมื่อคุณหยุดเด็กจากการตีสำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็สำคัญไม่แพ้กัน พ่อแม่ควรช่วยให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง และสอนวิธีการแสดงออกที่เหมาะสม เช่น เมื่อเด็กหงุดหงิดหรือโกรธ พ่อแม่สามารถสอนให้พูดว่า "ฉันโกรธ" แทนที่จะตี นอกจากนี้ยังสามารถใช้การเล่นบทบาทสมมุติเพื่อสอนวิธีแก้ปัญหา เช่น เมื่อของเล่นถูกแย่งไป ควรพูดขอหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่แทน

การสอนในชีวิตประจำวัน: หลีกเลี่ยงความรุนแรงและสร้างความเห็นอกเห็นใจ

พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการให้เด็กดูเนื้อหาที่มีความรุนแรง งานวิจัยพบว่าเด็กที่ดูเนื้อหารุนแรงบ่อยครั้งมักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีและหลีกเลี่ยงการใช้การตีเป็นการลงโทษ หากเด็กเรียนรู้ว่าความรุนแรงไม่ถูกต้อง แต่เห็นพ่อแม่ใช้ความรุนแรง ก็อาจทำให้เด็กสับสนและเข้าใจผิดว่าการตีเป็นวิธีแก้ปัญหาได้

พ่อแม่ยังสามารถช่วยพัฒนา "ความเห็นอกเห็นใจ" ให้เด็กเข้าใจว่าการกระทำของพวกเขามีผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร เช่น การอธิบายว่าคนที่ถูกตีรู้สึกอย่างไร หรือเปรียบเทียบกับเวลาที่เด็กได้รับบาดเจ็บ ความเห็นอกเห็นใจจะช่วยให้เด็กแก้ไขปัญหาในความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างมีเหตุผลในอนาคตแนะนำเด็กให้เข้าใจอารมณ์และผลกระทบ ฝึกแก้ปัญหาผ่านเกม สอนวิธีแสดงออกที่เหมาะสมและขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ (ภาพ / Heho)

พฤติกรรมการตีของเด็กเป็นวิธีแสดงอารมณ์อย่างหนึ่งของพวกเขา หากพ่อแม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงและใช้วิธีการที่เหมาะสม จะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่ไม่ใช้ความรุนแรง และเติบโตเป็นคนที่มีความเมตตาและเป็นมิตรในความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ข่าวเด่นประเด็นร้อน

:::
ข่าวล่าสุด 最新消息icon
回到頁首icon
Loading