ชายไต้หวันที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2005 เป็นต้นไป ต้องเกณฑ์ทหาร 1 ปี รัฐฯ เพิ่มค่าตอบแทนเป็น 20,320 TWD

ไต้หวันประกาศ “แผนการปรับโครงสร้างกำลังพลเพื่อการป้องกันประเทศ” เมื่อเร็ว ๆ นี้ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ได้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมด้านความมั่นคงแห่งชาติระดับสูง ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ไต้หวันจะฟื้นฟูระบบการเกณฑ์ทหารที่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมและรับใช้ประเทศเป็นเวลา 1 ปี โดยผู้ที่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารคือชายไต้หวันที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปี 2005 เป็นต้นไป โดยในระหว่างการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 1 ปี รัฐบาลจะเพิ่มค่าตอบแทน จากเดิม 6,510 เหรียญไต้หวัน เป็น 20,320 เหรียญไต้หวัน “เว็บไซต์ข่าวรอบโลกสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่” เตือนผู้ปกครองผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และบุตรหลานของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด

ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินกล่าวว่า ไต้หวันต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและความกล้าหาญในการปกป้องประเทศและธำรงรักษาไว้ซึ่งประชาธิปไตย จึงได้ฟื้นฟูระบบการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 1 ปี นอกเหนือจากการเร่งเสริมสร้างทักษะความสามารถและศักยภาพด้านการป้องกันประเทศ รวมไปถึงเพิ่มค่าตอบแทน ซึ่งจะปรับเพิ่มเป็น 26,307 เหรียญไต้หวันต่อเดือน หักค่าประกันและค่าอื่น ๆ แล้วจะได้รับจริงจำนวน 20,320 เหรียญไต้หวัน อีกทั้งเชื่อมโยงระยะเวลาของการเกณฑ์ทหารเข้าสู่ระบบบำนาญ พร้อมทั้งพิจารณาส่งเสริมให้ทหารเกณฑ์สามารถเชื่อมโยงสู่ช่วงวัยการทำงานได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ ยังมีทหารเกณฑ์ที่เกณฑ์ทหารครบ 4 เดือนแล้วถามว่า “แล้วอย่างนี้พวกเขาต้องไปเกณฑ์ทหารเพิ่มให้ครบ 1 ปีไหม” สำหรับเรื่องนี้กระทรวงกลาโหมให้คำตอบชัดเจนว่า “ไม่ต้อง”

ตามรายงานของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 1994 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2004 ใช้ระบบการเกณฑ์ทหาร 4 เดือน สำหรับชายไต้หวันที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2005 เป็นต้นไป จะถูกบังคับใช้ระบบการเกณฑ์ทหารที่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมและรับใช้ประเทศเป็นเวลา 1 ปี

สำหรับเกณฑ์การผ่อนผันเข้ารับการเกณฑ์ทหารก็มีความเข้มงวดมากขึ้น ผู้ที่มีความจำเป็นตรงตามปัจจัย 2 จำพวก คือ ปัจจัยทางครอบครัวและปัจจัยทางศาสนา โดยจะต้องมาเข้ารับราชการ 1 ปี และอัตราเงินเดือนจะปรับให้เป็นไปตามเกณฑ์การรับราชการทหารเทียบเท่ากับทหารประจำการ ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นตามปัจจัยทางด้านศาสนาจะต้องมาเข้ารับราชการเป็นเวลา 1 ปี 2 เดือน (ซึ่งกำลังพลสำรองจะถูกแบ่งให้ไปช่วยเหลือในหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กลุ่มป้องกันและช่วยเหลือภัยพิบัติ กลุ่มบำรุงรักษาความปลอดภัยด้านสาธารณะ กลุ่มบริการสังคม และกลุ่มบริการสาธารณะ รวมถึงกลุ่มป้องกันพลเรือน)