วัย 2 ขวบเป็นช่วงที่เด็กเข้าสู่ "วัยต่อต้าน" ซึ่งเหมือนกับการเริ่มต้นผจญภัยเล็ก ๆ ในชีวิต เด็กในวัยนี้มักชอบพูดคำว่า "ไม่" และแสดงอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงเมื่อไม่ได้ดังใจ สำหรับพ่อแม่ นี่คือช่วงเวลาสำคัญในการเข้าใจอารมณ์ของลูก แต่หากขาดวิธีการที่เหมาะสม อาจทำให้ทั้งเด็กและพ่อแม่สับสนหรือรู้สึกหมดหนทาง นักบำบัดอาชีวะ กัว หงหยิน ได้นำเสนอ "หลักการ 7 ทำ 3 ไม่ทำ" เพื่อช่วยให้การเลี้ยงลูกในช่วงนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนะนำอารมณ์และอยู่เคียงข้างด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเด็กแสดงอารมณ์โกรธหรือร้องไห้เพราะความผิดหวัง พ่อแม่สามารถช่วยแนะนำให้ลูกแสดงความรู้สึกในใจและอธิบายอารมณ์ของเขา ตัวอย่างเช่น หากลูกโกรธเพราะหอคอยบล็อกล้ม พ่อแม่สามารถพูดว่า "แม่เข้าใจว่าหนูโกรธ การที่บล็อกล้มมันน่าเสียดายจริง ๆ" การแนะนำแบบนี้ช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีแสดงอารมณ์และหลีกเลี่ยงการควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ภาพประกอบ 1
ให้ตัวเลือกเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ
เมื่อคุณต้องการให้ลูกให้ความร่วมมือ สามารถใช้ "วิธีการเลือก" เพื่อให้เขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น เมื่อถึงเวลาต้องเก็บของเล่น คุณอาจถามว่า "หนูอยากเก็บรถก่อนหรือเก็บบล็อกก่อน?" คำถามลักษณะนี้ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์และทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ซึ่งช่วยให้เขายินดีที่จะให้ความร่วมมือมากขึ้น
อนุญาตให้ร้องไห้ แต่จำกัดพฤติกรรมก้าวร้าว
เมื่อเกิดอารมณ์เสีย เด็กต้องการเวลาเพื่อสงบสติอารมณ์ พ่อแม่สามารถอยู่เคียงข้างและให้เด็กได้ร้องไห้เพื่อระบายอารมณ์ แต่หากอารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น การตีหรือขว้างปาของเล่น พ่อแม่ควรเข้าห้ามอย่างมั่นคงและบอกว่า "ห้ามตี" หรือ "ห้ามขว้างของเล่น" เพื่อสอนให้เด็กเข้าใจขอบเขตและกฎพื้นฐานของการควบคุมอารมณ์วัย 2 ขวบเป็นช่วงแรกของการต่อต้านของเด็ก โดยมีอารมณ์ที่รุนแรง การแสดงออกที่เพิ่มขึ้น การตระหนักถึงความเป็นตัวของตัวเอง และความกระตือรือร้นในการสำรวจ (ภาพโดย Heho)
ให้เวลาเพียงพอเพื่อสร้างนิสัยที่ดี
เด็กเล็กต้องการเวลาในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสวมรองเท้าหรือเตรียมตัวออกไปข้างนอก พ่อแม่ควรจัดเวลาเพิ่มเติมอีก 10-20 นาทีเพื่อค่อย ๆ ช่วยลูกทำภารกิจประจำวัน การกระทำนี้ไม่เพียงตอบสนองความต้องการด้านความเป็นอิสระของเด็ก แต่ยังช่วยให้กิจวัตรประจำวันมีระเบียบมากขึ้น
ชี้แนะโดยไม่ถามความคิดเห็น และรักษากิจวัตรที่มั่นคง
เมื่อถึงเวลาต้องกินข้าวหรือนอนหลับ ไม่ควรถามว่า "ตอนนี้หนูกินข้าวได้ไหม?" แต่ควรพูดว่า "ถึงเวลาทานข้าวแล้ว" คำพูดที่ตรงไปตรงมานี้ช่วยให้เด็กปรับตัวกับกิจวัตรประจำวันและเข้าใจว่าต้องทำสิ่งต่าง ๆ ตามเวลา
ส่งเสริมพฤติกรรมด้วยการให้กำลังใจในเชิงบวก
เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดี ควรชมเชยทันทีและอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น บอกว่า "วันนี้หนูเก่งมากเลย เพราะหนูพูดสิ่งที่ต้องการออกมาอย่างสุภาพ" การให้กำลังใจลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีกำลังใจในการแสดงพฤติกรรมดี แต่ยังช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมเชิงบวกในระยะยาว
3 สิ่งที่ไม่ควรทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มความกดดัน
กัว หงหยิน เน้นย้ำว่า มี 3 สิ่งที่ไม่ควรทำ:
- อย่ากลัวอารมณ์ของเด็ก การร้องไห้ของเด็กเป็นเพียงการแสดงอารมณ์ ไม่ใช่การต่อต้าน พ่อแม่ควรอยู่เคียงข้างและสังเกตสาเหตุที่แท้จริง
- อย่าทำแทนทุกอย่าง การให้เด็กทำภารกิจเล็ก ๆ ด้วยตัวเองในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความภูมิใจในตัวเอง
- อย่าใช้ความรุนแรงเพื่อสอนเรื่องความรุนแรง การลงโทษด้วยการตีจะเพิ่มความเข้าใจผิดให้เด็กว่า การใช้ความรุนแรงสามารถแก้ปัญหาได้
เด็กทุกคนคือปัจเจกบุคคลที่ไม่เหมือนใคร
เด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัวที่ถูกกำหนดจากอารมณ์พื้นฐานและสภาพแวดล้อม การเลี้ยงลูกจึงต้องใช้ความเข้าใจในความต้องการของเด็ก พร้อมกับการชี้แนะด้วยความอดทน การจัดการอารมณ์ในช่วงวัยนี้จะกลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตที่ดีและแข็งแรงของเด็กในอนาคต