พฤติกรรมความรุนแรงมักเกี่ยวข้องกับปัญหาวัยรุ่น แต่ในความเป็นจริง เด็กหลายคนแสดงสัญญาณการระเบิดอารมณ์ตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งมักเป็นตัวจุดประกายความขัดแย้งทางอารมณ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ดร. หลี ว่านเจิน แพทย์ผู้ชำนาญการประจำโรงพยาบาลไทเปซิตี้เขตซงเต๋อ แนะนำว่าการฝึกฝนอารมณ์ไม่ใช่แค่สำหรับเด็กเท่านั้น พ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองและแนะนำลูกด้วยวิธีที่เหมาะสมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างพ่อแม่และลูกได้ทีละขั้นตอน
การฝึกอารมณ์ไปพร้อมกันระหว่างพ่อแม่และลูก
สำหรับพ่อแม่หลายคน การรับมือกับพฤติกรรมความรุนแรงของลูกอาจทำให้รู้สึกหมดหนทาง แต่การตำหนิเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ดร.หลีชี้ให้เห็นว่าเด็กหลายคนใช้ความรุนแรงเพราะไม่สามารถควบคุมแรงกระตุ้นของตนเองได้ พ่อแม่ควรพิจารณาว่าพฤติกรรมของเด็กมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะขาดสมาธิ หรือภาวะสมาธิสั้น หรือความเครียดทางอารมณ์ที่ถูกกดดันหรือไม่ ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร ทักษะการเลี้ยงดูที่มีความสงบ สภาพแวดล้อมที่มีการพูดคุยที่อ่อนโยน และการฝึกควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสมล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการลดพฤติกรรมรุนแรงของเด็ก
ให้พื้นที่สงบเพื่อหลีกเลี่ยงการยกระดับอารมณ์
เมื่ออารมณ์ระหว่างพ่อแม่และลูกเริ่มสูงขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องให้เวลาทั้งสองฝ่ายได้สงบลง พ่อแม่หลายคนตกอยู่ในวงจรของการตอบสนองทางอารมณ์ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียการควบคุมของทั้งสองฝ่าย ดร.หลีเตือนว่า เมื่อพ่อแม่รักษาความสงบได้ นั่นเป็นเวลาที่พวกเขาสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดได้ หากรู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด พ่อแม่สามารถพูดกับลูกอย่างอ่อนโยนว่า "เรามาสงบสติอารมณ์กันก่อน แล้วค่อยคุยกันเมื่อเราทั้งคู่รู้สึกดีขึ้น" หลีกเลี่ยงการพูดคำตำหนิหรือคำที่ทำร้ายกันในขณะที่อารมณ์กำลังสูงผู้ปกครองควรแนะนำให้เด็กสงบลง ค้นหาจุดกระตุ้นอารมณ์ และเข้าใจอารมณ์ที่ซับซ้อนเบื้องหลังความโกรธ (ภาพ / โดย Heho)
เทคนิคการสนทนา 3 ขั้นตอนหลังจากที่เด็กสงบลง
หลังจากที่เด็กสงบลงแล้ว พ่อแม่สามารถใช้ 3 ขั้นตอนต่อไปนี้ในการสนทนาเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจความรู้สึกและเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ของตนเอง:
- แนะนำเด็กให้ทบทวนจุดเริ่มต้นของอารมณ์: ช่วยเด็กหาสาเหตุของอารมณ์ เข้าใจว่าเหตุการณ์หรือการกระทำใดทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจหรือโกรธ
- สะท้อนตนเองในรูปแบบพฤติกรรม: พ่อแม่ควรสะท้อนตนเองว่าระหว่างการโต้ตอบได้ใช้โทนเสียงหรือคำพูดใดที่อาจทำให้เด็กหงุดหงิดหรือไม่ สิ่งนี้สามารถช่วยนำทางการโต้ตอบในอนาคตได้ดีขึ้น
- วิเคราะห์ความซับซ้อนเบื้องหลังอารมณ์: ช่วยให้เด็กเข้าใจว่าไม่ใช่แค่ความโกรธเท่านั้น แต่อาจรวมถึงความรู้สึกถูกทอดทิ้ง อับอาย หรืออารมณ์ที่ซับซ้อนอื่นๆ ด้วย ผ่านการวิเคราะห์นี้ เด็กสามารถเรียนรู้วิธีการแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง
การบำบัดพฤติกรรมและความคิดเพื่อสอนเด็กฝึก "เหยียบเบรก"
ดร.หลีย้ำว่าการบำบัดพฤติกรรมและความคิด (CBT) เป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการช่วยเด็กควบคุมแรงกระตุ้น โดยการวาดแผนภูมิการไหลของเหตุการณ์จากสาเหตุไปสู่การกระทำ เด็กสามารถค่อยๆ เข้าใจกระบวนการของอารมณ์ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กเจอกับคำพูดที่กระตุ้น เด็กอาจแสดงอาการร่างกายเช่นหัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอารมณ์กำลังจะสูญเสียการควบคุม เมื่อสัญญาณนี้ปรากฏขึ้น เด็กสามารถลองเบี่ยงเบนความสนใจหรือฝึกการหายใจลึกเพื่อจัดการอารมณ์ของตนเอง
การสนทนาอย่างมีเหตุผล สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออกทางอารมณ์
ในกระบวนการฝึกควบคุมอารมณ์ ดร.หลีแนะนำว่าพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาวิพากษ์วิจารณ์หรือกล่าวโทษ เพราะสิ่งนี้อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกป้องกันตัวและไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริง เมื่อเด็กสามารถแบ่งปันโดยไม่มีแรงกดดัน เด็กก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทางอารมณ์และค่อยๆ เรียนรู้การปรับตัวเอง
การควบคุมอารมณ์ไม่ใช่แค่ปัญหาของเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นทักษะที่พ่อแม่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก เมื่อพ่อแม่และลูกได้พัฒนาทักษะการจัดการอารมณ์ พวกเขาจะพบโอกาสในการปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ปะทุ และค่อยๆ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกที่มั่นคงและกลมเกลียว